แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกับพวกอีกคนหนึ่งที่ยังจับตัวไม่ได้สมคบกันชิงทรัพย์ ขอให้ลงโทษตาม ม.298, 299
ดังนี้ก็เป็นฟ้องที่ชอบด้วยวิธีพิจารณาแล้ว ไม่จะต้องอ้างบทมาตรา 63 เพราะได้อ้างมาตราที่บัญญัติว่าเป็นความผิดไว้แล้ว และไม่จำต้องระบุว่าพวกของจำเลยเป็นใคร.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกับพวกอีกคนหนึ่งซึ่งยังจับตัวไม่ได้สมคบกันชิงทรัพย์ปากกาและธนบัตรไปรวม ๓๕๐ ขอให้ลงโทษตาม ก.ม.อาญา ม.๒๙๘,๒๙๙
จำเลยปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตาม ก.ม.อาญา ม.๒๙๙ ให้จำคุกจำเลยไว้ ๔ ปี กับให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ ๓๕๐ บาท แก่เจ้าทรัพย์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ ๓๕๐ บาท นอกนั้นยืน
จำเลยฎีกาศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยข้อ ๔ ที่เถียงว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะยังไม่ได้มีการสอบสวน กับฎีกาข้อ ๖ (ก) ว่า โจทก์ไม่ได้อ้าง ก.ม.อาญา ม.๖๓ และข้อ ๖ (ข) ว่าฟ้องของโจทก์เคลือบคลุม โดยไม่ได้กล่าวว่าพวกที่จำเลยสมคบคือใคร
ศาลฎีกาเห็นว่าคดีนี้ การวินิจฉัยปัญหาข้อ ก.ม.ศาลฎีกาต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้ว
ฎีกาข้อ ๔ ของจำเลยนั้นศาลอุทธรณ์ฟังว่ามีการสอบสวนแล้ว ฎีกาของจำเลยข้อนี้จึงเป็นฎีกาข้อเท็จจริงต้องห้าม
ส่วนฎีกาข้อ ๖ (ก) นั้นเห็นว่าฟ้องของโจทก์ที่หาว่าจำเลยสมคบกับพวกอีกคนหนึ่งกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์นั้นไม่จำเป็นต้องอ้างบทมาตรา ๖๓ เพราะได้อ้างมาตราที่บัญญัติว่าเป็นความผิดไว้แล้ว และไม่จำเป็นต้องระบุว่าพวกของจำเลยเป็นใครก็เป็นฟ้องที่ชอบด้วยวิธีพิจารณาแล้ว ให้ยกฎีกาจำเลย