คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 15843/2553

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตาม ป.อ. มาตรา 228 จำเลยจะต้องมีเจตนาให้เกิดอุทกภัยโดยตรง จะยกเอาการเล็งเห็นผลของการกระทำตามมาตรา 59 วรรคสอง มาใช้ไม่ได้
ที่นาของผู้เสียหายทั้งสองอยู่สูงกว่าที่นาของจำเลยและมีทางออกสู่คลองส่งน้ำสาธารณะได้ ที่นาของจำเลยซึ่งเป็นที่ลุ่มรองรับน้ำตามธรรมชาติที่ไหลมาจากที่สูงระบายลงสู่คลองส่งน้ำสาธารณะ การที่เจ้าของที่นาของผู้เสียหายที่ 1 ขุดร่องน้ำผ่านที่นาของตนไปยังที่นาของจำเลยทำให้น้ำระบายเข้าสู่ที่นาของจำเลยโดยตรงและไม่ใช่น้ำที่ระบายลงมาสู่ที่ต่ำโดยธรรมชาติ ที่นาของจำเลยจึงมีน้ำท่วมขังตลอดปีเพราะไม่สามารถระบายน้ำออกไปสู่คลองส่งน้ำสาธารณะได้ จำเลยถมดินลงไปในที่นาของตนเองปิดกั้นทางระบายน้ำเพื่อไม่ให้น้ำที่ระบายมาจากร่องระบายน้ำดังกล่าวท่วมที่นาของจำเลย ผู้เสียหายทั้งสองไม่ทำการระบายน้ำออกคลองส่งน้ำสาธารณะซึ่งง่ายและสะดวกกว่าที่จะให้น้ำในที่นาของตนระบายออกโดยทางร่องน้ำที่ขุดขึ้น การกระทำของจำเลยไม่มีเจตนาทำให้เกิดอุทกภัยแก่ที่นาของผู้เสียหายทั้งสองตามมาตรา 228 จึงไม่เป็นความผิด แม้จำเลยมิได้ฎีกาแต่เมื่อคดีขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลฎีกาและเป็นปัญหาที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 228
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกจำเลย 1 ปี และปรับ 10,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวน มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสี่ คงจำคุก 9 เดือน และปรับ 7,500 บาท โทษจำคุกให้รอไว้มีกำหนด 1 ปี ไม่ชำระค่าปรับให้จัด การตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาแก้ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยกระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่ โจทก์มีผู้เสียหายทั้งสองเบิกความเป็นพยาน นายลอม นุ่มมีชัย เบิกความเป็นพยานโจทก์ว่า ร่องระบายน้ำ ไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติหรือทางราชการขุดเพื่อให้เป็นร่องระบายน้ำสาธารณะที่ประชาชนใช้ร่วมกันแต่ประการใด แต่เกิดจากนายลอมเป็นผู้ดำเนินการขุดด้วยตนเองเพื่อระบายน้ำจากคลองส่งน้ำสาธารณะเข้าสู่ที่ดินของตนเป็นประโยชน์สำหรับตนเองในการทำนาโดยแท้ หากมีน้ำในที่นาของผู้เสียหายที่ 2 ท่วมมากก็สามารถเปิดระบายน้ำออกไปที่คลองส่งน้ำสาธารณะได้ มีการปิดกั้นคลองไส้ไก่ซึ่งอยู่ทางด้านทิศใต้ของที่นาจำเลย โดยเจ้าของที่นาที่อยู่ติดกับที่นาของจำเลยทำให้น้ำท่วมที่นาของจำเลย คำเบิกความของพยานโจทก์ดังกล่าวเจือสมกับคำเบิกความของจำเลยที่ว่าจำเลยไม่สามารถทำนาในที่นาของตนเองมาเป็นเวลา 5 ปีแล้ว เนื่องจากมีน้ำระบายมาจากร่องระบายน้ำ ทำให้น้ำท่วมที่นาของจำเลย ข้อเท็จจริงในคดีฟังเป็นยุติได้ว่า ที่นาที่ผู้เสียหายทั้งสองทำนาอยู่นั้นมีสภาพเป็นที่สูงกว่าที่นาของจำเลยซึ่งมีสภาพเป็นที่ลุ่มรองรับน้ำตามธรรมชาติที่ไหลมาจากที่สูงระบายลงสู่คลองไส้ไก่ซึ่งเป็นคลองระบายน้ำสาธารณะ แต่การที่นายลอมขุดร่องระบายน้ำผ่านที่นาของตนตรงไปยังที่นาของจำเลย ทำให้น้ำระบายจากที่นาของนายลอมเข้าสู่ที่นาของจำเลยโดยตรงและไม่ใช่น้ำที่ระบายลงมาสู่ที่ต่ำโดยธรรมชาติ ที่นาของจำเลยจึงมีน้ำท่วมขังตลอดปีเพราะไม่สามารถระบายน้ำออกไปสู่คลองไส้ไก่ได้เนื่องจากมีการปิดกั้นคลองไส้ไก่ ศาลฎีกาเห็นว่า เพื่อให้เกิดอุทกภัยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 228 นี้ จำเลยจะต้องมีเจตนาให้เกิดอุทกภัยโดยตรง จะยกเอาการเล็งเห็นผลของการกระทำตามมาตรา 59 วรรคสอง มาใช้ไม่ได้ แต่เจตนาของบุคคลเป็นเรื่องในใจต้องอาศัยพฤติการณ์เป็นเรื่องๆ ไปเป็นเครื่องชี้เจตนา สำหรับเรื่องนี้ตามพฤติการณ์ที่กล่าวข้างต้น แสดงว่าการที่จำเลยถมดินลงในที่นาของตนเองปิดกั้นทางระบายน้ำเพื่อไม่ให้น้ำที่ระบายมาจากร่องระบายน้ำท่วมที่นาของจำเลย เนื่องจากที่นาของจำเลยเป็นที่ลุ่มจำเลยกระทำการดังกล่าวก็เพื่อไม่ให้น้ำท่วมขังที่นาของตนซึ่งมีน้ำท่วมขังทำนาไม่ได้เป็นเวลา 5 ปีแล้ว ส่วนที่นาของผู้เสียหายทั้งสองเป็นที่สูงกว่า นอกจากนี้ยังมีทางระบายน้ำออกสู่คลองส่งน้ำสาธารณะได้ แต่ผู้เสียหายทั้งสองไม่ทำการระบายน้ำออกคลองส่งน้ำสาธารณะดังกล่าว เพราะเป็นการง่ายและสะดวกกว่าที่จะให้น้ำในที่นาของตนระบายออกโดยทางร่องระบายน้ำที่นายลอมเป็นผู้ดำเนินการขุดขึ้นเอง หลังเกิดเหตุจำเลยก็เข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวนและให้การปฏิเสธมาโดยตลอด จึงเชื่อว่าการกระทำดังกล่าวของจำเลยไม่ได้ตั้งใจให้เกิดอุทกภัยแก่ที่นาของผู้เสียหายทั้งสองพยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบยังไม่เพียงพอให้รับฟังได้ว่าจำเลยเจตนาทำให้เกิดอุทกภัยแก่ที่นาของผู้เสียหายทั้งสอง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 228แม้จำเลยมิได้ฎีกา แต่เมื่อคดีขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลฎีกาและเป็นปัญหาที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 จำเลยจึงไม่มีความผิดตามฟ้อง ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้อง

Share