คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8058/2553

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาให้เพิกถอนการขายทอดตลาดทรัพย์จำนองนั้นศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีมิได้แจ้งให้ผู้ร้องซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้เสียทราบถึงประกาศขายทอดตลาดในคดีนี้ จึงเป็นการที่เจ้าพนักงานบังคับคดีมิได้ปฏิบัติให้ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 306 มิได้พิพากษาให้เพิกถอนการขายทอดตลาดทรัพย์จำนองตาม ป.วิ.พ. มาตรา 309 ทวิ วรรคสอง คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 จึงไม่เป็นที่สุดตามมาตรา 309 ทวิ วรรคสี่ (เดิม)

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินตามตั๋วเงินจำนวน 772,574.61 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 740,200 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความจำนวน 3,000 บาท ต่อมาโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ 9524 ตำบลบางเตย อำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี พร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลยเพื่อนำออกขายทอดตลาด
ก่อนการขายทอดตลาด ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องซึ่งเป็นผู้รับจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่โจทก์นำยึดได้รับชำระหนี้จากเงินที่ขายทอดตลาดก่อนเจ้าหนี้อื่น ตามประมวลกฎหมายกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 289 จำนวน 4,326,223.35 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 1,800,000 บาท นับแต่วันที่ 24 พฤศจิกายน 2543 เป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จ
ผู้ร้องยื่นคำร้อง ขอให้มีคำสั่งเพิกถอนการขายทอดตลาด และให้มีการขายทอดตลาดใหม่ต่อไป
ผู้ซื้อทรัพย์ยื่นคำคัดค้านว่า ผู้ร้องทราบการขายทอดตลาดในวันที่ 23 กันยายน 2546 โดยชอบแล้ว ผู้ร้องไม่มาดูแลการขายทอดตลาดเอง และหากเห็นว่าราคาประเมินที่เจ้าพนักงานบังคับคดีกำหนดเป็นราคาต่ำไป ผู้ร้องก็ชอบที่จะคัดค้านราคาต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ คำร้องของผู้ร้องไม่ได้กล่าวอ้างว่าการขายทอดตลาดทรัพย์จำนองไปในราคาที่ต่ำเกินควรเกิดจากการคบคิดกับฉ้อฉลในระหว่างผู้เกี่ยวข้องในการเข้าสู้ราคาหรือความไม่สุจริต หรือความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของเจ้าพนักงานบังคับคดีในการปฏิบัติหน้าที่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 309 ทวิ ขอศาลมีคำสั่งให้ยกคำร้องของผู้ร้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว มีคำสั่งให้ยกคำร้องของผู้ร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้เพิกถอนการขายตลาดทรัพย์จำนองและให้เจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดใหม่ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
ผู้ซื้อทรัพย์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามที่ผู้ร้องและผู้ซื้อทรัพย์ไม่โต้แย้งกันในชั้นฎีกาว่า ภายหลังโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์จำนองซึ่งเป็นที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ 9524 ตำบลบางเตย อำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี เนื้อที่ 2 งาน 35 ตารางวา พร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลยแล้ว มีการขายทอดตลาดทรัพย์จำนองในครั้งแรกเมื่อวันที่ 23 มกราคม 2540 มีผู้เสนอราคาสูงสุดจำนวน 1,200,000 บาท ตามรายงานเจ้าหน้าที่เอกสารหมาย ร.4 ต่อมามีการนำทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดอีกในวันที่ 23 กันยายน 2546 เจ้าพนักงานบังคับคดีตกลงขายทรัพย์จำนองให้แก่ผู้ซื้อทรัพย์ไปในราคา 860,000 บาท มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ซื้อทรัพย์ว่ามีเหตุให้เพิกถอนการขายทอดตลาดที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของจำเลยแก่ผู้ซื้อทรัพย์เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2546 เพราะเจ้าพนักงานบังคับคดีมิได้แจ้งผู้ร้องซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่จำนองไว้แก่ผู้ร้องให้ทราบถึงประกาศขายทอดตลาดทรัพย์สินดังกล่าวเมื่อวันที่ 23 กันยายน 2546 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 306 ดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาหรือไม่ ในปัญหานี้ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องมิได้ดูแลการขายทอดตลาดในวันที่ 23 กันยายน 2546 เนื่องจากผู้ร้องมิได้รับประกาศขายทอดตลาดจากกรมบังคับคดี ผู้รับไปรษณีย์ตอบรับคือนายนพดล ใจกลาง ซึ่งมิได้เป็นพนักงานธนาคารผู้ร้องและผู้ร้องไม่รู้จักนายนพดล พนักงานไปรษณีย์มิได้ระบุความเกี่ยวพันระหว่างนายนพดลกับผู้รับในใบตอบรับ ทั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีส่งประกาศขายในวันที่ 23 กรกฎาคม 2546 แต่ในใบลงทะเบียนตอบรับกลับลงว่าผู้ร้องได้รับหมายเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2546 ซึ่งขัดแย้งกับความเป็นจริง ทำให้ผู้ร้องมิได้รับประกาศขายทอดตลาด แต่ผู้ร้องมีนายวสันต์ วงยามาลย์ ผู้รับมอบอำนาจผู้ร้องมาเบิกความเป็นพยานลอย ๆ เพียงปากเดียวว่า คดีนี้เจ้าพนักงานบังคับคดีขายทรัพย์ของจำเลยให้แก่ผู้ซื้อทรัพย์ไปเมื่อวันที่ 23 กันยายน 2546 ในราคา 860,000 บาท ตามประกาศเจ้าพนักงานบังคับคดี รายงานเจ้าหน้าที่ และหนังสือสัญญาซื้อขายที่ดินเอกสารหมาย ร.1 ถึง ร.3 ผู้ร้องไม่ได้มาดูแลการขายทอดตลาดเนื่องจากไม่ได้รับประกาศแจ้งการขายทอดตลาดในครั้งนี้จากเจ้าพนักงานบังคับคดี โดยผู้ร้องมิได้นำพยานหลักฐานอื่นใดมาสนับสนุนข้ออ้างตามคำร้องของผู้ร้องดังกล่าว ข้อเท็จจริงกลับได้ความตามที่นายวสันต์เบิกความตอบทนายผู้ซื้อทรัพย์ถามค้านว่า ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการขายทอดตลาดในคดีนี้เป็นไปตามรายงานข้อเท็จจริงของสำนักงานบังคับคดีลงวันที่ 27 พฤศจิกายน 2546 เอกสารหมาย ค.1 ประกาศขายทอดตลาดในครั้งที่ขายให้แก่ผู้ซื้อทรัพย์นั้น เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ส่งประกาศไปยังสำนักงานใหญ่ของธนาคารผู้ร้อง ซึ่งปรากฏตามหนังสือสำนักงานบังคับคดีจังหวัดปทุมธานีถึงผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดปทุมธานีลงวันที่ 27 พฤศจิกายน 2546 ในเอกสารหมาย ค.1 ว่า เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ส่งประกาศขายทอดตลาดทรัพย์ในคดีนี้ให้ผู้ร้องโดยทางไปรษณีย์ตอบรับและผู้รับประกาศดังกล่าวเป็นพนักงานธนาคารผู้ร้องเอง จึงถือเป็นการส่งประกาศนั้นโดยชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 73 ทวิ แล้ว อีกทั้งในการขายทอดตลาดทั้งห้าครั้ง ผู้ร้องไม่เคยมาดูแลการขายเลย เห็นว่า เมื่อรับฟังข้อเท็จจริงตามหนังสือเอกสารหมาย ค.1 ดังกล่าวประกอบกับคำเบิกความของนายวสันต์พยานผู้ร้องที่รับว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ส่งประกาศขายทอดตลาดทรัพย์ในคดีนี้ไปยังสำนักงานใหญ่ของธนาคารผู้ร้องแล้ว มีเหตุผลให้เชื่อว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีได้แจ้งให้ผู้ร้องทราบถึงประกาศขายทอดตลาดที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่จำนองไว้แก่ผู้ร้องเมื่อวันที่ 23 กันยายน 2546 แล้ว การปฏิบัติของเจ้าพนักงานบังคับคดีจึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 306 เมื่อตามคำร้องของผู้ร้องมิได้อ้างว่าการขายทอดตลาดที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของจำเลยในราคาต่ำเกินสมควรนั้นเกิดจากการคบคิดกันฉ้อฉลในระหว่างผู้ที่เกี่ยวข้องในการเข้าสู้ราคาหรือความไม่สุจริตหรือความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของเจ้าพนักงานบังคับคดีในการปฏิบัติหน้าที่ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 309 ทวิ วรรคสอง ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 15 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 18) พ.ศ. 2542 อันเป็นบทกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในวันที่ 3 ตุลาคม 2546 ซึ่งเป็นวันที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดีในคดีนี้ กรณีจึงไม่อาจเพิกถอนการขายทอดตลาดที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่จำนองไว้แก่ผู้ร้องและให้เจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดใหม่ดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาได้ ที่ผู้ร้องแก้ฎีกาว่าคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 เป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 309 ทวิ วรรคสี่ ผู้ซื้อทรัพย์ไม่อาจฎีกาได้นั้น เห็นว่า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาให้เพิกถอนการขายทอดตลาดทรัพย์จำนองนั้น ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีมิได้แจ้งให้ผู้ร้องซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้เสียทราบถึงประกาศขายทอดตลาดในคดีนี้ จึงเป็นการที่เจ้าพนักงานบังคับคดีมิได้ปฏิบัติให้ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 306 ศาลอุทธรณ์ภาค 1 มิได้พิพากษาให้เพิกถอนการขายทอดตลาดทรัพย์จำนองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 309 ทวิ วรรคสอง คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 จึงไม่เป็นที่สุดตามมาตรา 309 ทวิ วรรคสี่ (เดิม) ดังที่ผู้ร้องแก้ฎีกา ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้ซื้อทรัพย์ฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้ยกคำร้องของผู้ร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ

Share