คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8611/2553

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

การที่จำเลยยืนยันข้อเท็จจริงว่าจำเลยเห็นโจทก์ร่วมหยิบเอาเศษสร้อยคอทองคำของจำเลยไปและไปและได้แจ้งความแก่พนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีโจทก์ร่วมในข้อหาลักทรัพย์ซึ่งเป็นข้อความอันเป็นเท็จ โดยจำเลยรู้ดีว่ามิได้มีการกระทำผิดในข้อหาลักทรัพย์เกิดขึ้น แต่กลับไปแจ้งความแก่พนักงานสอบสวนดังกล่าวว่าได้มีการกระทำผิดข้อหาลักทรัพย์อันเป็นเท็จเพื่อให้พนักงานสอบสวนเชื่อว่าได้มีความผิดข้อหาลักทรัพย์เกิดขึ้น เพื่อให้โจทก์ร่วมได้รับโทษ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จตาม ป.อ. มาตรา 137, 174 วรรคสอง ประกอบมาตรา 173 นอกจากนี้ จำเลยยังมีเจตนายังมีเจตนาแจ้งความเพื่อให้โจทก์ร่วมถูกดูหมิ่นเกลียดชังและเสียชื่อเสียง จึงเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ร่วมอีกด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137, 173, 174, 326, 90
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นางสาวลำพึงหรือรำพึง ประโมงมุขหรือประมงมุขผู้เสียหาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137, มาตรา 174 วรรคท้าย ประกอบมาตรา 173, มาตรา 326 เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษตามมาตรา 174 วรรคท้าย ประกอบมาตรา 173 อันเป็นบทหนักตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ลงโทษจำคุก 2 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์และโจทก์ร่วมฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…มูลเหตุคดีนี้เกิดจากโจทก์ร่วมและจำเลยต่างมีปากเสียงทะเลาะวิวาทตบตีกันจนทั้งสองฝ่ายตกลงไปในคูน้ำครำข้างทางและทรัพย์สินทั้งสองฝ่ายสูญหายไป ทั้งสองฝ่ายต่างไปแจ้งความกล่าวหาอีกฝ่ายหนึ่งในวันเกิดเหตุ ร้อยตำรวจโทรัชทพงศ์พนักงานสอบสวนได้เปรียบเทียบปรับทั้งสองฝ่ายในข้อหาใช้กำลังทำร้ายผู้อื่นไม่ถึงกับเป็นเหตุเกิดอันตรายแก่กาย ส่วนทรัพย์สินที่สูญหายทั้งสองฝ่ายต่างจะไปฟ้องกันทางแพ่งต่อไป จำเลยมิได้แจ้งความเพื่อให้ดำเนินคดีแก่โจทก์ร่วมในข้อหาลักทรัพย์แต่ประการใด หลังจากเกิดเหตุแล้วเป็นเวลาเดือนกว่า จำเลยจึงไปแจ้งความร้องทุกข์ต่อร้อยตำรวจโทรัชทพงศ์พนักงานสอบสวนอีกว่า เหตุทะเลาะวิวาทกันในครั้งนั้น จำเลยเห็นโจทก์ร่วมหยิบเอาสร้อยคอทองคำของจำเลยแล้ววิ่งหนีไป จำเลยจึงได้ติดตามไปเอาสร้อยคอทองคำคืนจากโจทก์ร่วมที่บ้านของโจทก์ร่วมโจทก์ร่วมได้โยนสร้อยคอทองคำที่ขาดให้แก่จำเลยและจำเลยได้ไปตามหาสร้อยคอทองคำที่เหลือพร้อมพระเครื่องเลี่ยมทองคำในที่เกิดเหตุแต่ไม่พบ ข้อเท็จจริงที่จำเลยแจ้งเพิ่มเติมดังกล่าวนี้ ทางฝ่ายโจทก์และโจทก์ร่วมมีตัวโจทก์ร่วม นายโสภณกับนางสาวจิรภัทร์ ผู้เห็นเหตุการณ์และร้อยตำรวจโทรัชทพงศ์พนักงานสอบสวนเป็นพยานเบิกความว่า ในวันเกิดเหตุโจทก์ร่วมและจำเลยต่างหาทรัพย์สินของตนที่สูญหายไปในที่เกิดเหตุแต่ไม่มีฝ่ายใดหาทรัพย์สินพบและไม่ปรากฏว่ามีเหตุการณ์เกี่ยวกับโจทก์ร่วมหยิบเอาสร้อยคอทองคำของจำเลยซึ่งตกอยู่ในที่เกิดเหตุไป โจทก์ร่วมมิได้ลักทรัพย์สร้อยคอทองคำและพระเครื่องเลี่ยมทองคำตามที่จำเลยได้แจ้งความร้องทุกข์กล่าวหาต่อพนักงานสอบสวน อีกทั้งในครั้งแรก จำเลยไม่ได้แจ้งความว่าโจทก์ร่วมลักทรัพย์ดังกล่าวไป ส่วนจำเลยมีตัวจำเลยเบิกความว่า โจทก์ร่วมหยิบเศษสร้อยคอทองคำของจำเลยไปแล้ววิ่งหนีกลับไปที่บ้านจำเลยไปทวงคืน โจทก์ร่วมโยนสร้อยคอทองคำที่ขาดให้แก่จำเลย โดยจำเลยมีเด็กชายพินิจมาเบิกความสนับสนุนว่า เห็นโจทก์ร่วมกับจำเลยทะเลาะกันตกลงไปในคูน้ำครำข้างทาง โจทก์ร่วมขึ้นมาจากน้ำคนแรกและได้หยิบเศษสร้อยคอทองคำที่ตกอยู่แล้วกลับไปที่บ้านทันที จำเลยขึ้นจากน้ำวิ่งตามไปทันเพื่อทวงสร้อยคอทองคำคืนและจำเลยกลับมาในที่เกิดเหตุบอกว่า ผู้ใดหาสร้อยคอทองคำส่วนที่เหลือพร้อมพระเครื่องเลี่ยมทองคำได้แล้วจะให้รางวัล 1,000 บาท พยานโจทก์และโจทก์ร่วมในคดีนี้คือนายโสภณ นางจิรภัทร์ และร้อยตำรวจโทรัชทพงศ์ต่างก็เป็นพยานในคดีที่โจทก์ถูกฟ้องในความผิดฐานลักทรัพย์นอกจากนี้ในคดีดังกล่าวยังมีนายสมพงษ์ผู้รู้เห็นเหตุการณ์มาเบิกความเป็นพยานด้วย โดยพยานทั้งหมดดังกล่าวต่างไม่ได้เบิกความยืนยันข้อเท็จจริงดังที่จำเลยมาแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน ทั้ง ๆ ที่พยานโจทก์ดังกล่าวอยู่ในเหตุการณ์นี้ด้วย และจำเลยมิได้ให้ข้อเท็จจริงนี้ในครั้งแรกแต่ประการใด แม้ในคดีนี้จำเลยจะมีเด็กชายพินิจมาเบิกความสนับสนุนจำเลย แต่เด็กชายพินิจไม่เคยไปให้การในชั้นสอบสวนในคดีนี้และคดีที่โจทก์ร่วมถูกฟ้อง ทั้งไม่เคยไปเป็นพยานในคดีที่โจทก์ร่วมถูกฟ้องด้วยคงมาเบิกความเป็นพยานสนับสนุนจำเลยในคดีนี้เป็นครั้งแรก ดังนั้นคำเบิกความของเด็กชายพินิจย่อมไม่มีน้ำหนักรับฟังได้ ข้อเท็จจริงที่ว่าโจทก์ร่วมหยิบเอาเศษสร้อยคอทองคำของจำเลยไปจึงคงมีแต่คำของจำเลยเพียงผู้เดียวโดยไม่มีพยานหลักฐานอื่นใดสนับสนุน เหตุที่สร้อยคอทองคำพร้อมเครื่องพระเลี่ยมทองคำของจำเลยสูญหายไปเพราะเกิดจากการทำร้ายร่างกายซึ่งกันและกันระหว่างจำเลยกับโจทก์ร่วมและตกไปในคูน้ำครำข้างทาง การที่จำเลยยืนยันข้อเท็จจริงดังกล่าวว่าจำเลยเห็นโจทก์ร่วมหยิบเอาเศษสร้อยคอทองคำของจำเลยไปและได้แจ้งความแก่พนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีโจทก์ร่วมในข้อหาลักทรัพย์จึงเป็นข้อความอันเป็นเท็จ โดยจำเลยรู้ดีว่ามิได้มีการกระทำผิดในข้อหาลักทรัพย์เกิดขึ้น แต่กลับไปแจ้งความแก่พนักงานสอบสวนดังกล่าวว่าได้มีการกระทำผิดข้อหาลักทรัพย์อันเป็นเท็จดังกล่าวเพื่อให้พนักงานสอบสวนเชื่อว่าได้มีความผิดข้อหาลักทรัพย์เกิดขึ้นเพื่อให้โจทก์ร่วมได้รับโทษ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 มาตรา 174 วรรคสอง ประกอบมาตรา 173 นอกจากนี้ จำเลยยังมีเจตนาแจ้งความเพื่อให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีแก่โจทก์ร่วมอันเป็นการใส่ความโจทก์ร่วมต่อบุคคลที่สามเพื่อให้โจทก์ร่วมถูกดูหมิ่น เกลียดชังและเสียชื่อเสียง การกระทำของจำเลยจึงเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ร่วมอีกด้วย ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์และโจทก์ร่วมฟังขึ้น แต่ตามพฤติการณ์แห่งคดีไม่ใช่เรื่องร้ายแรงนัก ประกอบกับจำเลยไม่เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อนยังอยู่ในวิสัยที่พนักงานคุมประพฤติจะแก้ไขฟื้นฟูให้จำเลยกลับตัวเป็นพลเมืองดีได้ ศาลฎีกาเห็นสมควรรอการลงโทษกับให้ปรับจำเลยอีกสถานหนึ่งและคุมประพฤติจำเลยไว้ด้วย”
พิพากษากลับเป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 มาตรา 174 วรรคสอง ประกอบมาตรา 173 และมาตรา 326 เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษตามมาตรา 174 วรรคสอง ประกอบมาตรา 173 อันเป็นบทหนักตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 1 ปี ปรับ 5,000 บาท โทษจำคุกรอไว้มีกำหนด 2 ปี และคุมความประพฤติจำเลย 2 ปี โดยให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติปีละ 3 ครั้ง ตามเงื่อนไขและกำหนดระยะเวลาที่พนักงานคุมประพฤติเห็นสมควรกำหนด ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30

Share