คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8127/2553

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

พ.ร.บ.ศุลกากรฯ มาตรา 27 ทวิ มีระวางโทษปรับเป็นเงินสี่เท่าราคาของซึ่งได้รวมค่าอากรเข้าด้วย ซึ่งค่าอากรดังกล่าวหมายถึงค่าอากรในทางศุลกากรเท่านั้นไม่รวมถึงภาษีมูลค่าเพิ่มอันเป็นภาษีฝ่ายสรรพากรด้วย การที่ศาลล่างทั้งสองลงโทษปรับจำเลยโดยนำภาษีมูลค่าเพิ่ม 6,370 บาท มารวมกับเงินค่าอากร 21,000 บาท เป็นเงิน 27,370 บาท ตามใบประเมินราคาของกลางมาคำนวณลงโทษปรับจำเลยด้วยจึงเป็นการไม่ชอบ
ที่ศาลล่างทั้งสองให้จ่ายเงินรางวัลแก่ผู้จับตามกฎหมายโดยไม่ระบุให้ชัดแจ้งกับเป็นกรณีที่ศาลมีคำสั่งริบของกลาง และไม่ปรากฏว่าของกลางที่ศาลสั่งริบนั้นไม่อาจขายได้ จึงต้องจ่ายรางวัลร้อยละยี่สิบของราคาของกลางตาม พ.ร.บ.ให้บำเหน็จในการปราบปรามผู้กระทำความผิดฯ มาตรา 8 วรรคสอง ศาลฎีกาเห็นสมควรระบุให้ชัดแจ้งด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ.2469 มาตรา 27 ทวิ, 32 พระราชบัญญัติให้บำเหน็จในการปราบปรามผู้กระทำความผิด พ.ศ.2489 มาตรา 4, 5, 6, 7, 8, 9 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 ริบของกลางและจ่ายเงินรางวัลแก่ผู้จับตามกฎหมาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ.2469 มาตรา 27 ทวิ ปรับ 109,480 บาท ริบของกลาง และจ่ายเงินรางวัลแก่ผู้จับตามกฎหมาย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…เจ้าพนักงานตำรวจที่จับกุมจำเลยเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ.2469 มาตรา 2 และมีอำนาจจับกุมจำเลยตามมาตรา 20 หรือไม่ ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุในฟ้องร้อยตำรวจโทสุภารัตน์กับพวก เจ้าพนักงานตำรวจ สถานีตำรวจนครบาลพลับพลาไชย 2 จับกุมจำเลยพร้อมยึดได้เสื้อกันฝนยี่ห้อ PHUONG TIEN จำนวน 14,000 ตัว ราคา 70,000 ที่จะต้องเสียค่าอากร 21,000 บาท ซึ่งรวมราคาของและค่าอากรแล้วเป็นเงิน 91,000 บาท ที่บริเวณถนนกรุงเกษม แขวงป้อมปราบ เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานคร โดยจำเลยมีความผิดฐานช่วยพาเอาไปเสียช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ซื้อหรือรับไว้ด้วยประการใดซึ่งของที่ตนรู้อยู่แล้วว่าเป็นของที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงศุลกากรตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ.2469 เห็นว่า พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ.2469 มาตรา 2 บัญญัติว่า “คำว่า “พนักงานเจ้าหน้าที่” หมายความและกินความรวมไปถึงพนักงานใดๆ ซึ่งได้แต่งตั้งให้มีหน้าที่เฉพาะการ หรือพนักงานใดซึ่งกระทำหน้าที่โดยเฉพาะในกิจการตามหน้าที่ของตนนโดยปกติ” ดังนี้ พนักงานเจ้าหน้าที่ตามบทบัญญัติดังกล่าวจึงมีความหมายถึงพนักงานใดๆ ซึ่งได้รับแต่งตั้งให้มีหน้าที่เฉพาะการ และพนักงานใดซึ่งได้กระทำหน้าที่โดยเฉพาะในกิจการตามหน้าที่ของตนโดยปกติ ร้อยตำรวจโทสุภารัตน์กับพวกเป็นเจ้าพนักงานตำรวจประจำสถานีตำรวจนครบาลพลับพลาไทย 2 ซึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2 (16) ร้อยตำรวจโทสุภารัตน์กับพวกมีอำนาจและหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยของประชาชน ทำการจับกุมปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายได้ เมื่อร้อยตำรวจโทสุภารัตน์กับพวกตรวจค้นจับกุมจำเลยบริเวณถนนกรุงเกษม แขวงป้อมปราม เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานครซึ่งเป็นการปฏิบัติหน้าที่ในเขตท้องที่ที่ร้อยตำรวจโทสุภารัตน์กับพวกประจำการอยู่ ดังนี้ ร้อยตำรวจโทสุภารัตน์จึงเป็นพนักงานซึ่งกระทำหน้าที่โดยเฉพาะในกิจการตามหน้าที่ของตนโดยปกติ ร้อยตำรวจโทสุภารัตน์จึงเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตามบทบัญญัติดังกล่าวและมีอำนาจจับกุมจำเลยตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ.2469 มาตรา 20 ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ.2469 มาตรา 27 ทวิ มีระวางโทษปรับเป็นเงินสี่เท่าราคาของซึ่งได้รวมค่าอากรเข้าด้วย ซึ่งค่าอากรดังกล่าวหมายถึงค่าอากรในทางศาลกากรเท่านั้น ไม่รวมถึงภาษีมูลค่าเพิ่มอันเป็นภาษีฝ่ายสรรพากรด้วย การที่ศาลล่างทั้งสองลงโทษปรับจำเลยโดยนำภาษีมูลค่าเพิ่ม 6,370 บาท มารวมกับเงินค่าอากร 21,000 บาท เป็นเงิน 27,370 บาท ตามใบประเมินราคาของกลางมาคำนวณลงโทษปรับจำเลยด้วยจึงเป็นการไม่ชอบ ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จะไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้เป็นคุณแก่จำเลยได้ และการที่ศาลล่างทั้งสองไม่ได้นำราคาของมาคำนวณลงโทษปรับจำเลยก็ไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติดังกล่าว แต่เมื่อโจทก์ไม่ได้อุทธรณ์จึงไม่อาจนำราคาของมาคำนวณเพื่อกำหนดลงโทษปรับจำเลยใหม่ได้เพราะเป็นการเพิ่มเติมโทษจำเลยต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212 ประกอบ มาตรา 225 นอกจากนี้ที่ศาลล่างทั้งสองให้จ่ายเงินรางวัลแก่ผู้จับตามกฎหมายโดยไม่ระบุให้ชัดแจ้งกับคดีนี้เป็นกรณีที่ศาลมีคำสั่งริบของกลาง และไม่ปรากฏว่าของกลางที่ศาลสั่งริบนั้นไม่อาจขายได้ จึงต้องจ่ายรางวัลร้อยละยี่สิบของราคาของกลางตามพระราชบัญญัติให้บำเหน็จในการปราบปรามผู้กระทำความผิด พ.ศ.2489 มาตรา 8 วรรคสอง ศาลฎีกาเห็นสมควรระบุให้ชัดแจ้งเสียด้วย”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ปรับจำเลย 84,000 บาท กรณีจำเลยไม่ชำระค่าปรับให้กักขังจำเลยแทนค่าปรับไม่เกิน 1 ปี และให้จ่ายรางวัลแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ผู้จับกุมร้อยละยี่สิบของราคาของกลาง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share