คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2445/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เดิมที่ดินพิพาทเป็นของส. เมื่อส. ถึงแก่กรรมที่ดินพิพาทตกได้แก่ช. มารดาของผู้ร้องต่อมาช.ถึงแก่กรรมที่ดินพิพาทตกได้แก่ผู้ร้องและผู้ร้องได้ยึดถือครอบครองมาโดยตลอดผู้ร้องจึงเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทแม้ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์จะมีชื่อจำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทก็เป็นเพียงข้อสันนิษฐานเบื้องต้นว่าจำเลยมีสิทธิเช่นนั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1373เมื่อผู้ร้องเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทข้อสันนิษฐานตามมาตราดังกล่าวย่อมตกไปการที่จำเลยซึ่งไม่ใช่เจ้าของที่ดินพิพาทนำที่ดินพิพาทไปจำนองไว้แก่โจทก์แม้โจทก์จะรับจำนองไว้โดยสุจริตก็ตามก็หามีผลให้โจทก์มีสิทธิที่จะบังคับเอาแก่ที่ดินพิพาทในฐานะผู้รับจำนองไม่เพราะขัดต่อบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา705จึงต้องปล่อยทรัพย์พิพาทไป

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องจำเลยให้รับผิดตามสัญญากู้เงินและสัญญาจำนอง ต่อมาโจทก์จำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความโดยจำเลยตกลงยอมชำระหนี้ 1,461,769.16 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 650,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์โดยจำเลยจะชำระให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 28 มกราคม 2534 หากผิดนัดยอมให้โจทก์บังคับคดีได้ทันทีโดยยอมให้โจทก์ยึดที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองทำประโยชน์(น.ส.3) สารบบเลขที่ 8 เล่น 4 หน้า 2 หมู่ที่ 1 ตำบลทุ่งขวางอำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม พร้อมสิ่งปลูกสร้างที่จำนองไว้แก่โจทก์ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ และจำเลยยอมใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนที่ศาลไม่สั่งคืนกับค่าทนายความ10,000 บาท แก่โจทก์ภายในวันที่ 28 มกราคม 2534 ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมแต่จำเลยไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษาตามยอม โจทก์จึงนำเจ้าพนักบานบังคับคดียึดที่ดินพิพาท
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ที่ดินที่โจทก์นำยึดเป็นที่ดินหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) สารบบเลขที่ 8 เนื้อที่43 ไร่ 3 งาน 65 ตารางวา ราคาประมาณ 880,000 บาท เป็นของผู้ร้องที่ได้รับมรดกจากนางแช่ม วงศ์ภักดี มิใช่ทรัพย์ของจำเลยจำเลยไม่เคยเข้าครอบครองที่พิพาท ผู้ร้องได้ครอบครองที่ดินพิพาทตั้งแต่ปี 2511 นับแต่นางแช่มถึงแก่กรรมตลอดมาดังนั้นโจทก์จึงไม่มีสิทธินำยึด ขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด
โจทก์ให้การว่า ตามเอกสารสิทธิสำหรับที่ดินพิพาทไม่มีชื่อผู้ร้องเป็นผู้มีสิทธิครอบครองแต่มีชื่อจำเลย ที่ผู้ร้องอ้างว่าหลวงสิทธิเทพการถึงแก่กรรมญาติ ๆ ทำหนังสือสัญญาประนีประนอมยอมความยกที่ดินพิพาทให้นางแช่มนั้น การยกให้มิได้ทำเป็นหนังสือจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จึงไม่สมบูรณ์ ผู้ร้องไม่ใช่เจ้าของที่ดินพิพาท ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ปล่อยที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์สารบบเลขที่ 8 เล่ม 4 หน้า 2 หมู่ที่ 1 ตำบลทุ่งขวางอำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม คืนแก่ผู้ร้อง
โจทก์ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นได้ความเป็นยุติว่าเดิมที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมีหนังสือแบบแจ้งการครอบครอง (ส.ค.1)เลขที่ 8 มีชื่อนายวิศิษฎ์ วังตาล เป็นเจ้าของตามเอกสารหมาย ร.6ต่อมาปี 2503 หลังจากหลวงสิทธิเทพการถึงแก่กรรมแล้วที่ดินพิพาทได้ตกลงมาเป็นของนางแช่ม วงศ์ภักดี มารดาผู้ร้อง ปี 2511 นางแช่มถึงแก่กรรม หลังจากนั้นนายลำใย เรืองฤทธิ์ ได้ดำเนินการขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์จนทางการออกให้และนายลำใยได้จดทะเบียนการยกให้แก่จำเลยผู้เป็นบุตร จำเลยนำไปจดทะเบียนจำนองแก่ธนาคารอื่นและในที่สุดนำไปจดทะเบียนจำนองไว้แก่โจทก์ปรากฏรายละเอียดตามเอกสารหมาย ร.42 สำหรับปัญหาที่ว่าโจทก์มีสิทธิยึดที่ดินพิพาทเพื่อนำออกขายทอดตลาดชำระหนี้โจทก์หรือไม่นั้น จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยหรือไม่ปัญหาดังกล่าวนอกจากตัวผู้ร้องเบิกความตามที่กล่าวมาในทางนำสืบของผู้ร้องแล้วผู้ร้องยังมีนายวิศิษฎ์ซึ่งเป็นทายาทคนหนึ่งของหลวงสิทธิเทพการเจ้ามรดกเป็นพยานสนับสนุนโดยเบิกความว่า เดิมที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมี ส.ค.1 เลขที่ 8มีชื่อพยานเป็นเจ้าของ หลังจากเจ้ามรดกถึงแก่กรรม บรรดาทายาทได้ตกลงแบ่งมรดกกันที่ดินพิพาทตกได้แก่นางแช่มมารดาผู้ร้องปี 2511 นางแช่มถึงแก่กรรม หลังจากนั้นนายสนิท วิสิทธิ์ศิลป์ผู้ดูแลกองมรดกให้นายลำใยบิดาจำเลยไปออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ นายลำไยนำแบบพร้อมหนังสือมอบอำนาจมาให้พยานลงชื่อ พยานในฐานะเป็นผู้มีชื่อใน ส.ค.1 จึงได้ลงชื่อไป ภายหลังพยานทราบว่านายลำใยไปดำเนินการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์แล้วโอนให้แก่จำเลยซึ่งเป็นบุตรของตน ความจริงจะต้องโอนให้ผู้ร้อง นายสนิทเป็นพยานผู้ร้องเบิกความว่า พยานเป็นผู้ดูแลที่ดินพิพาทในนามของนายวิศิษฎ์ โดยจัดการให้คนเช่าเก็บค่าเช่าทำสัญญาเช่า ก่อนนี้มีนายหนูและนางพูนเช่า ต่อมามีนายใบนางอยู่เล้งขอแบ่งเช่านอกจากนี้พยานยังได้ว่าจ้างนายลำใยเป็นคนช่วยพยานดูแลและจัดการผลประโยชน์ต่อมานายลำใยลาออกได้มีนายนิติ วิสิทธิ์ศิลป์ และนายวิวัฒน์ หลวงคลังฤทธิ์เดชช่วยพยานดูแล นายนิติพยานผู้ร้องเบิกความว่า เมื่อปี 2523 พยานได้มาช่วยนายสนิทบิดาดูแลที่ดินพิพาทซึ่งเป็นของผู้ร้องพยานเป็นคนไปตานายหนูนางพูนซึ่งเช่าที่ดินพิพาทด้านทิศเหนือจำนวน 23 ไร่ และนายใบนางอยู่เล้งซึ่งเช่าซึ่งที่ดินพิพาทด้านทิศใต้จำนวน 20 ไร่ ให้ไปชำระค่าเช่า พยานเป็นผู้จัดทำสัญญาเช่าตามเอกสารหมาย ร.11 ถึง ร.18 นางพูน สังข์ทองนายใบและนางอยู่เล้ง สว่างศิลป์ สามีภริยาเป็นพยานเบิกความว่าเดิมที่ดินพิพาทเป็นของกลางสิทธิเทพการ นางพูนได้เช่าที่พิพาทจากหลวงสิทธิเทพการครั้นหลวงสิทธิเทพการถึงแก่กรรมที่ดินพิพาทตกมาเป็นของนางแช่ม นางพูนได้ทำสัญญาเช่ากับนางแช่มต่อมานางพูนได้แบ่งที่ดินพิพาทให้นายใบนางอยู่เล้งเช่านางอยู่เล้งได้ทำสัญญาเช่ากับนายสนิทผู้ดูแลผลประโยชน์ของหลวงสิทธิเทพการ ต่อมาพยานผู้เช่าทั้งสามได้ทำสัญญาเช่ากับผู้ร้องพยานผู้เช่าทั้งสามได้ปลูกอาคารที่พักอาศัย และปลูกอ้อยหน่อไม้ฝรั่ง โดยจำเลยไม่เคยเข้าไปเกี่ยวข้อง เห็นว่า พยานของผู้ร้องดังกล่าวเบิกความสอดคล้องต้องกันและยังมีพยานเอกสารต่าง ๆอีกมากมายสนับสนุน ส่วนที่โจทก์อ้างว่า ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยคงมีแต่พยานเอกสารซึ่งมีชื่อจำเลยเป็นผู้ถือสิทธิเท่านั้น ส่วนการครอบครองโจทก์อ้างแต่เพียงว่า ก่อนจดทะเบียนจำนองโจทก์ได้ให้นายวิรัช เลาหะกาญจนศิริลูกจ้างโจทก์สาขาท่าเรือไปตรวจสอบปรากฏว่าในที่ดินพิพาทมีการเช่าอยู่ แต่ผู้เช่าไม่บอกว่าเช่าจากใครเห็นว่า ข้อนำสืบของโจทก์ดังกล่าวไม่ได้ยืนยันว่าก่อนโจทก์รับจดทะเบียนจำนองจำเลยเป็นผู้ยึดถือครอบครอง โจทก์คงกล่าวอ้างแต่เพียงว่าจำเลยมีชื่อถือสิทธิในหนังสือรับรองการทำประโยชน์เท่านั้น เมื่อผู้ร้องมีทั้งพยานบุคคลและพยานเอกสารต่างเบิกความสอดคล้องต้องกันฟังได้ว่า เดิมที่ดินพิพาทเป็นของหลวงสิทธิเทพการเมื่อหลวงสิทธิเทพการถึงแก่กรรม ที่ดินพิพาทตกได้แก่นางแช่มมารดาของผู้ร้อง ต่อมานางแช่มถึงแก่กรรมที่ดินพิพาทตกได้แก่ผู้ร้องและผู้ร้องได้ยึดถือครอบครองมาโดยตลอด ผู้ร้องจึงเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทแม้ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์จะมีชื่อจำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทก็เป็นเพียงข้อสันนิษฐานเบื้องต้นว่าจำเลยมีสิทธิเช่นนั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1373 เมื่อข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า ผู้ร้องเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท ข้อสันนิษฐานตามมาตราดังกล่าวย่อมตกไปการที่จำเลยซึ่งไม่ใช่เจ้าของที่ดินพิพาทนำที่ดินพิพาทไปจำนองไว้แก่โจทก์ แม้โจทก์จะรับจำนองไว้โดยสุจริตก็ตามก็หามีผลให้โจทก์มีสิทธิที่จะบังคับเอาแก่ที่ดินพิพาทในฐานะผู้รับจำนองไม่ เพราะขัดต่อบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 705 ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้ปล่อยทรัพย์พิพาทจึงชอบแล้วฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share