คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9795/2552

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

แม้จะได้ความว่าบ้านของผู้เสียหายไม่มีรั้วล้อมและบริเวณหลังบ้านผู้เสียหายอยู่ติดกับถนนส่วนบุคคลก็ตาม กรณีจะถือเอาเพียงฝาหนังและประตูเหล็กด้านหลังเป็นแนวของเคหสถานย่อมไม่ได้ เพราะเคหสถานตามกฎหมายให้หมายความรวมถึงบริเวณของที่ซึ่งใช้เป็นที่อยู่อาศัยนั้นด้วย เมื่อผู้เสียหายได้ใช้ประโยชน์บริเวณรอบบ้านเป็นที่วางสิ่งของ เครื่องใช้อยู่โดยรอบ ทางด้านหลังมีโอ่งน้ำและถ้วยชามวางอยู่ กับมีหลังคายื่นออกมาคลุม การที่จำเลยทั้งสองไปอยู่ตรงบริเวณดังกล่าวย่อมต้องถือว่าเป็นการเข้าไปในเคหสถานของผู้เสียหายแล้ว จำเลยทั้งสองเข้าไปในขณะผู้เสียหายไม่อยู่บ้าน ทั้งได้ความว่าผู้เสียหายกับจำเลยทั้งสองมีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อนเรื่องจำเลยลักลอบต่อสายไฟจากมิเตอร์บ้านของผู้เสียหาย จึงยิ่งไม่มีเหตุสมควรที่จะเข้าไปอยู่ที่บริเวณประตูหลังบ้านของผู้เสียหายและการที่จำเลยทั้งสองนำสืบปฏิเสธว่าไม่ได้เข้าไปในบริเวณประตูหลังบ้านของผู้เสียหาย จึงยิ่งเป็นพิรุธส่อแสดงให้เห็นถึงเจตนาอันไม่สุจริตของจำเลยทั้งสอง พฤติการณ์ของจำเลยทั้งสองดังกล่าวฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองกระทำความผิดฐานบุกรุกเข้าไปในเคหสถานของผู้อื่นโดยไม่มีเหตุอันสมควร

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 364, 365, 83
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365 (2) ประกอบมาตรา 364, 83 จำคุกคนละ 6 เดือน และปรับคนละ 2,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงในเบื้องต้น ฟังเป็นยุติได้ว่าบ้านของผู้เสียหายที่เกิดเหตุเป็นบ้านชั้นเดียวอยู่ติดพื้นดิน ผนังทั้งสี่ด้านทำด้วยอิฐบล็อกประตูหน้าบ้านอยู่ทางด้านทิศใต้ ประตูหลังบ้านเป็นเหล็กตัดอยู่ทางด้านทิศเหนือหลังคามุงด้วยแฝก คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่า จำเลยทั้งสองกระทำความผิดฐานบุกรุกโดยร่วมกันเข้าไปในเคหสถานของผู้อื่นโดยไม่มีเหตุอันสมควรหรือไม่ โจทก์มีนางสาวสุนิสา บุตรผู้เสียหายเบิกความว่า วันเกิดเหตุเวลาประมาณ 9 นาฬิกา ขณะพยานขับรถยนต์เก๋งผ่านถนนหลังบ้านของผู้เสียหาย เห็นชาย 2 คน ที่ประตูหลังบ้านผู้เสียหาย คนหนึ่งยื่นอยู่ ส่วนอีกคนหนึ่งนั่งยองๆ ชายทั้งสองคนพยานรู้จักมาก่อนเคยมาก่อสร้างบ้านผู้เสียหาย คือจำเลยทั้งสอง เห็นว่า ขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางวัน พยานรู้จักกับจำเลยทั้งสองมาก่อน หลังเกิดเหตุพยานก็พาเจ้าพนักงานตำรวจไปจับกุมจำเลยทั้งสองที่บ้านโดยไม่ลังเล จึงเชื่อว่าขณะเกิดเหตุจำเลยทั้งสองได้เข้าไปอยู่ที่ข้างประตูหลังบ้านผู้เสียหายจริง ปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปมีว่า บริเวณประตูหลังบ้านผู้เสียหายจดที่จำเลยทั้งสองยืนอยู่ถือว่าเป็นการล่วงล้ำเข้าไปในเคหสถานอันจะถือว่าเป็นการบุกรุกแล้วหรือไม่ เห็นว่า บทนิยามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 1 (4) “เคหสถาน” หมายความว่า ที่ซึ่งใช้เป็นที่อยู่อาศัย เช่น เรือน โรง เรือ หรือแพ ซึ่งคนอยู่อาศัยและให้หมายความรวมถึงบริเวณของที่ซึ่งใช้เป็นที่อยู่อาศัย จะมีรั้วล้อมหรือไม่ก็ตาม ดังนี้ แม้จะได้ความว่าบ้านของผู้เสียหายไม่มีรั้วล้อมกับได้ความจากคำของนางสาวสุนิสาเบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่าบริเวณหลังบ้านผู้เสียหายอยู่ติดกับถนนส่วนบุคคลก็ตาม กรณีจะถือเอาเพียงฝาผนังและประตูเหล็กด้านหลังเป็นแนวของเคหสถานย่อมจะไม่ได้ เพราะเคหสถานตามกฎหมายให้หมายความรวมถึงบริเวณของที่ซึ่งใช้เป็นที่อยู่อาศัยนั้นด้วย เมื่อพิจารณาตามภายถ่ายเห็นได้ชัดว่าผู้เสียหายได้ใช้ประโยชน์บริเวณรอบบ้านเป็นที่วางสิ่งของ เครื่องใช้อยู่โดยรอบ ทางด้านหลังมีโอ่งน้ำและถ้วยชามวางอยู่ กับมีหลังคายื่นออกมาคลุม การที่จำเลยทั้งสองไปอยู่ตรงบริเวณดังกล่าวย่อมต้องถือว่าเป็นการเข้าไปในเคหสถานของผู้เสียหายแล้ว จำเลยทั้งสองเข้าไปในขณะผู้เสียหายไม่อยู่บ้านทั้งได้ความว่า ผู้เสียหายกับจำเลยทั้งสองมีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อน เรื่องจำเลยลักลอบต่อสายไฟจากมิเตอร์บ้านของผู้เสียหาย จึงยิ่งไม่มีเหตุสมควรที่จะเข้าไปอยู่ที่บริเวณประตูหลังบ้านของผู้เสียหาย และการที่จำเลยทั้งสองนำสืบปฏิเสธว่าไม่ได้เข้าไปในบริเวณประตูหลังบ้านของผู้เสียหาย จึงยิ่งเป็นพิรุธส่อแสดงให้เห็นถึงเจตนาอันไม่สุจริตของจำเลยทั้งสอง พฤติการณ์ของจำเลยทั้งสองดังกล่าวฟังได้ว่า จำเลยทั้งสองกระทำความผิดฐานบุกรุกเข้าไปในเคหสถานของผู้อื่นโดยไม่มีเหตุอันสมควร ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share