คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9474/2552

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

พยานหลักฐานของโจทก์มีความสงสัยตามสมควรว่า จำเลยที่ 1 ร่วมกับกลุ่มคนผิวดำในขบวนการค้ายาเสพติดให้โทษและมีการแบ่งหน้าที่กันทำโดยจำเลยที่ 1 มีหน้าที่ดำเนินการจัดส่งเฮโรอีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ทางพัสดุไปรษณีย์ไปต่างประเทศ อันเป็นการกระทำความผิดฐานร่วมกันมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายหรือไม่ ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยในความผิดข้อหานี้ให้แก่จำเลยที่ 1 ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 227 วรรคสอง แต่เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 รับจ้างจากจำเลยที่ 2 ดำเนินการส่งหม้อปรุงอาหารจำนวน 3 ใบ ทางพัสดุไปรษณีย์ไปต่างประเทศเป็นจำนวนเงินสูงถึง 5,000 บาท ทั้งในชั้นสอบสวนจำเลยที่ 1 ก็ให้การรับว่า ทราบว่าในหม้อปรุงอาหารมีของผิดกฎหมายซุกซ่อนอยู่แต่บ่ายเบี่ยงว่าไม่แน่ใจว่าเป็นยาเสพติดให้โทษ เชื่อได้ว่าจำเลยที่ 1 รู้ว่าหม้อปรุงอาหารที่จัดส่งมียาเสพติดให้โทษซุกซ่อนอยู่ การที่จำเลยที่ 1 ดำเนินการจัดส่งพัสดุดังกล่าวจึงถือได้ว่าจำเลยที่ 1 กระทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกก่อนหรือขณะกระทำความผิดแก่ผู้กระทำความผิดในการส่งเฮโรอีนออกนอกราชอาณาจักรเพื่อจำหน่าย เมื่อการส่งไม่บรรลุผลเพราะถูกจับกุมได้เสียก่อน จำเลยที่ 1 จึงมีความผิดฐานสนับสนุนการพยายามส่งเฮโรอีนออกนอกราชอาณาจักรเพื่อจำหน่าย
บทบัญญัติตาม พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 6 (1) เป็นกฎหมายพิเศษที่เป็นการเพิ่มโทษให้สูงขึ้นแก่ผู้กระทำความผิดฐานสนับสนุนการกระทำความผิดจะต้องรับโทษเท่ากับตัวการ อันเป็นกฎหมายที่เป็นผลร้ายแก่จำเลยที่ 1 จึงต้องตีความโดยเคร่งครัด โจทก์จะต้องอ้างมาตรา 6 (1) ตาม พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาในคำขอท้ายฟ้องด้วย เมื่อคำขอท้ายฟ้องโจทก์มิได้ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ตามบทบัญญัติมาตราดังกล่าว ย่อมถือว่าโจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษแก่จำเลยที่ 1 ตาม พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 6 (1) ดังที่บัญญัติไว้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคสี่ จึงต้องปรับบทลงโทษจำเลยที่ 1 ตาม ป.อ. มาตรา 86 เท่านั้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 65, 66 , 67, 100/1, 102 พระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 7 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 83, 91 และริบของกลางทั้งหมด
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสาม (3), 65 วรรคสอง, 66 วรรคสาม พระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 7 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 83 การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานพยายามส่งเฮโรอีนออกนอกราชอาญาจักรในอัตราโทษเท่ากับความผิดสำเร็จตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 7 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้ลงโทษประหารชีวิตจำเลยทั้งสอง คำรับสารภาพในชั้นจับกุมของจำเลยทั้งสองเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 52 (1) คงจำคุกจำเลยทั้งสองตลอดชีวิตริบของกลางทั้งหมด เว้นแต่โทรศัพท์เคลื่อนที่ หมายเลข 06-5601xxx ให้คืนแก่เจ้าของ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…ข้อเท็จจริงเบื้องต้นตามที่โจทก์และจำเลยทั้งสองมิได้ฎีกาโต้แย้งกันรับฟังได้ว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยที่ 1 ไปที่ห้างเทสโก้ โลตัส ถนนสุขุมวิท ซอย 50 แขวงพระโขนง เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร จากนั้นจำเลยที่ 1 นำถุงพลาสติกสีแดงของห้างเซ็นทรัล จำนวน 2 ใบ ที่มีหม้อปรุงอาหารอยู่ในถุงรวม 3 ใบ ไปติดต่อส่งพัสุดไปรษณีย์ที่เคาน์เตอร์ร้านเมลบอกซ์ซึ่งตั้งอยู่ในห้างเทสโก้ โลตัส เพื่อจัดส่งหม้อปรุงอาหารดังกล่าวทางพัสดุไปรษณีย์ไปต่างประเทศโดยระบุชื่อ นางหทัย อยู่วอชิงตัน ดี.ซี. ประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นผู้รับพัสดุ ต่อมาเจ้าพนักงานตำรวจผู้สืบสวนติดตามพฤติการณ์ของจำเลยที่ 1 ได้นำตัวจำเลยที่ 1 ไปขอรับหม้อปรุงอาหารจำนวน 3 ใบ คืนมาจากร้านเมลบอกซ์เมื่อตรวจสอบแล้วพบว่ามีเฮโรอีนซุกซ่อนอยู่ในก้นหม้อทั้ง 3 ใบน้ำหนักรวม 1,343.580 กรัม คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 1,229.510 กรัม จึงจับกุมจำเลยที่ 1 ต่อมาวันเดียวกันเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยที่ 2 ได้ และแจ้งข้อหาแก่จำเลยทั้งสองว่า ร่วมกันมีเฮโรอีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและพยายามส่งออกนอกราชอาณาจักรเพื่อจำหน่าย คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่า จำเลยทั้งสองกระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ หรือไม่ …เห็นว่า แม้โจทก์จะมีพันตำรวจโทนิธิธร เจ้าพนักงานตำรวจผู้สืบสวนติดตามพฤติกรรมของจำเลยที่ 1 มาโดยตลอดเป็นพยานเบิกความยืนยันว่า จำเลยที่ 1 เกี่ยวข้องกับกลุ่มคนผิวดำในการนำเข้าและส่งยาเสพติดให้โทษออกนอกราชอาณาจักรปรากฏรายละเอียดการสืบสวนตามเอกสารหมาย จ.11 และ จ.16 โดยพยานเบิกความเพื่อเชื่อมโยงชี้ให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 มีการติดต่อกับนางสาวสายรุ้งซึ่งเดินทางไปต่างประเทศจากท่าอากาศยานเชียงใหม่เพื่อไปขนโคเคนจำนวน 10 กิโลกรัมจากประเทศบราซิลโดยจะกลับมาประเทศไทยที่ท่าอากาศยานภูเก็ตในวันที่ 7 กรกฎาคม 2547 วันดังกล่าวจำเลยที่ 1 กับชายผิวดำไปรอรับนางสาวสายรุ้ง แต่นางสาวสายรุ้งไม่ได้เดินทางกลับมาพยานสืบทราบจากสถานทูตสเปนประจำประเทศไทยว่า นางสาวสายรุ้งถูกจับกุมที่ประเทศสเปน แต่ในเรื่องที่นางสาวสายรุ้งถูกจับกุมที่ประเทศสเปนดังกล่าว โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานจากสถานทูตสเปนประจำประเทศไทยมายืนยันให้เห็นชัดเจนว่านางสาวสายรุ้งถูกจับกุมจริงหรือไม่ ด้วยข้อหาความผิดฐานใดอันจะเป็นพยานหลักฐานยืนยันเชื่อมโยงให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 กับนางสาวสายรุ้งร่วมอยู่ในขบวนการของกลุ่มคนผิวดำผู้ค้ายาเสพติดให้โทษจริงหรือไม่ อีกทั้งหลังเกิดเหตุคดีนี้แล้วประมาณ 1 สัปดาห์ จึงได้ไปตรวจค้นห้องพักของนายลารีซึ่งอ้างว่าเป็นชายผิวดำผู้หนึ่งที่ร่วมขบวนการอันถือว่าเป็นเวลาที่เนิ่นนานเกินสมควรจึงยังมีข้อพิรุธอยู่ พยานหลักฐานของโจทก์ในส่วนนี้จึงมีน้ำหนักน้อยยังไม่อาจรับฟังได้แน่ชัดว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ที่ร่วมขบวนการค้ายาเสพติดให้โทษกับกลุ่มคนผิวดำจริงหรือไม่ ข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานของโจทก์ฟังได้ว่าความเพียงว่า วันเกิดเหตุจำเลยที่ 1 รับหม้อปรุงอาหาร 3 ใบมาจากจำเลยที่ 2 แล้วนำไปส่งพัสดุไปรษณีย์ที่ร้านเมลบอกซ์ มีผู้รับชื่อนางหทัย อยู่ที่วอชิงตัน ดี.ซี. ประเทศสหรัฐอเมริกาโดยจำเลยที่ 2 เป็นผู้มอบเงินค่าส่งให้จำเลยที่ 1 ซึ่งหม้อปรุงอาหารทั้ง 3 ใบ ดังกล่าว หากไม่มีการเจาะรื้อก้นหม้อออกดูก็จะไม่อาจทราบได้ว่ามีการซุกซ่อนเฮโรอีนไว้ที่ใต้ก้นหม้อดังกล่าว พันตำรวจโทนิธิธรเบิกความตอบทนายจำเลยที่ 1 ถามค้านว่าหลังจากเปิดหม้อออกมาแล้วพบว่ามีเฮโรอีนอยู่ จำเลยที่ 1 แสดงอาการตกใจพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ของนี้ไอ้ดำชื่อลาดหญ้าเอามาให้” นอกจากนี้ยังได้ความว่า จำเลยที่ 1 ได้ให้ข้อมูลแหล่งที่พักอาศัยของจำเลยที่ 2 เพื่อให้เจ้าพนักงานตำรวจติดตามจับกุมจำเลยที่ 2 มาดำเนินคดี ชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนตลอดจนชั้นพิจารณาคดีของศาลจำเลยที่ 1 ยืนยันมาโดยตลอดว่า จำเลยที่ 1 ได้รับจ้างจำเลยที่ 2 ให้ส่งหม้อปรุงอาหารทั้ง 3 ใบ ดังกล่าวทางพัสดุไปรษีย์ได้เงินค่าจ้าง 5,000 บาท เห็นว่า หากจำเลยที่ 1 ร่วมอยู่กับกลุ่มคนผิวดำในขบวนการค้ายาเสพติดให้โทษและมีการแบ่งหน้าที่กันทำโดยจำเลยที่ 1 มีหน้าที่ดำเนินการในการจัดส่งพัสดุไปรษณีย์ดังกล่าวจำเลยที่ 1 น่าจะต้องตระเตรียมเงินค่าใช้จ่ายในการจัดส่งมาให้พร้อม รวมทั้งน่าจะต้องทราบถึงรายชื่อผู้รับของพัสดุที่ปลายทางด้วย แต่ข้อเท็จจริงจากพยานโจทก์กลับได้ความว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้มอบเงินค่าส่งพัสดุไปรษณีย์และแจ้งชื่อผู้รับของที่ปลายทางแก่จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ยังคงยืนรอในบริเวณห้างเทสโก้ โลตัส ดังกล่าว เพื่อรับเอกสารเกี่ยวกับการส่งพัสดุอยู่ ดังนั้น จากเหตุผลดังได้วินิจฉัยมาแล้วจึงเห็นว่าพยานหลักฐานของโจทก์ยังมีความสงสัยตามสมควรว่า จำเลยที่ 1 ได้กระทำความผิดฐานร่วมกันมีเฮโรอีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายจริงหรือไม่ ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยในความผิดข้อหานี้แก่จำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง แต่อย่างไรก็ตามเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 รับจ้างจากจำเลยที่ 2 ในการนำหม้อปรุงอาหารทั้ง 3 ใบดำเนินการส่งพัสดุไปรษณีย์ไปต่างประเทศ ทั้งในชั้นสอบสวนจำเลยที่ 1 ก็ให้การต่อพนักงานสอบสวนตามเอกสารหมาย จ.35 โดยยอมรับว่า ทราบว่าในหม้อปรุงอาหารมีของผิดกฎหมายซุกซ่อนอยู่ แต่บ่ายเบี่ยงว่าไม่แน่ใจว่าเป็นยาเสพติดให้โทษ เห็นว่า การที่จำเลยที่ 2 จ้างให้จำเลยที่ 1 จัดส่งพัสดุไปรษณีย์ไปต่างประเทศเป็นจำนวนเงินสูงถึง 5,000 บาท ซึ่งนับได้ว่าเป็นเงินค่าจ้างจำนวนสูง ข้อเท็จจริงเชื่อได้ว่าจำเลยที่ 1 รู้ว่าหม้อปรุงอาหารที่จัดส่งมียาเสพติดให้โทษซุกซ่อนอยู่ การที่จำเลยที่ 1 ดำเนินการจัดส่งพัสดุดังกล่าวจึงถือได้ว่าจำเลยที่ 1 กระทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกก่อนหรือขณะกระทำความผิดแก่ผู้กระทำความผิดในการส่งเฮโรอีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ออกนอกราชอาณาจักรเพื่อจำหน่าย เมื่อการส่งไม่บรรลุผลเพราะถูกจับกุมได้เสียก่อน จำเลยที่ 1 จึงมีความผิดฐานสนับสนุนการพยายามส่งเฮโรอีนออกนอกราชอาณาจักรเพื่อจำหน่าย มีปัญหาว่าจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นเพียงผู้สนับสนุนต้องรับโทษเช่นเดียวกับตัวการในความผิดนั้นตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 6 (1) หรือไม่ เห็นว่า บทบัญญัติมาตราดังกล่าวนี้ เป็นกฎหมายพิเศษที่เป็นการเพิ่มโทษให้สูงขึ้นแก่ผู้กระทำความผิดฐานสนับสนุนการกระทำความผิดจะต้องรับโทษเท่ากับตัวการ อันเป็นกฎหมายที่เป็นผลร้ายแก่จำเลยที่ 1 จึงต้องตีความโดยเคร่งครัด โจทก์จะต้องอ้าง มาตรา 6 (1) ตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาในคำขอท้ายฟ้องด้วย เมื่อคำขอท้ายฟ้องโจทก์มิได้ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ตามบทบัญญัติมาตราดังกล่าว จึงย่อมถือว่าโจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษแก่จำเลยที่ 1 ตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 6 (1) ดังที่บัญญัติไว้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสี่ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 เป็นเพียงผู้สนับสนุนแก่ผู้กระทำความผิดฐานพยายามส่งเฮโรอีนออกนอกราชอาณาจักรเพื่อจำหน่ายจึงต้องปรับบทลงโทษจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 เท่านั้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคท้าย หาใช่ศาลต้องปรับบทลงโทษจำเลยที่ 1 ตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 6 (1) ด้วยไม่
คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยต่อไปว่า จำเลยที่ 2 กระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์หรือไม่ เห็นว่า พยานหลักฐานของโจทก์ที่นำมาสืบฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 เป็นผู้นำหม้อปรุงอาหารทั้ง 3 ใบ มาส่งมอบให้แก่จำเลยที่ 1 เพื่อดำเนินการส่งพัสดุไปรษณีย์ไปต่างประเทศ หม้อทั้ง 3 ใบ ดังกล่าวมีการซุกซ่อนเฮโรอีนไว้ที่ใต้ก้นหม้ออย่างแนบเนียน จำเลยที่ 2 เป็นผู้จ่ายเงินค่าส่งพัสดุและแจ้งแก่จำเลยที่ 1 ว่าให้ระบุชื่อผู้รับคืนนางหทัย อยู่ที่วอชิงตัน ดี.ซี. ประเทศสหรัฐอเมริกา การที่จำเลยที่ 2 สามารถเป็นผู้ส่งพัสดุได้ด้วยตนเองเพราะทำได้ไม่ยากโดยได้ความจากคำเบิกความของจำเลยที่ 2 ว่า จำเลยที่ 2 มาที่ประเทศไทยซื้อรองเท้าและเครื่องแต่งกายสตรีจากประตูน้ำและตลาดโบ๊เบ๊เพื่อส่งไปขายต่างประเทศ อีกทั้งได้ความด้วยว่าจำเลยที่ 2 ยังมีนางดาริณี หญิงไทยที่พักอยู่ห้องเดียวกันกับจำเลยที่ 2 สามารถช่วยดำเนินการให้ได้ แต่จำเลยที่ 2 กลับว่าจ้างให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดส่งให้และยังได้แจ้งแก่จำเลยที่ 1 ว่าให้ระบุชื่อใครก็ได้เป็นผู้ส่งโดยไม่ให้ระบุชื่อจำเลยที่ 2 เป็นผู้ส่งซึ่งเป็นพิรุธ พฤติการณ์ของจำเลยที่ 2 ดังกล่าวบ่งชี้ชัดว่าจำเลยที่ 2 รู้อยู่แล้วว่าในหม้อปรุงอาหารทั้ง 3 ใบดังกล่าวมีเฮโรอีนซุกซ่อนอยู่พยานหลักฐานของโจทก์ฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยที่ 2 กระทำความผิดจริงตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ พยานหลักฐานของจำเลยที่ 2 ไม่มีน้ำหนักรับฟังหักล้างพยานโจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยบางส่วนฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังขึ้นบางส่วน สำหรับฎีกาของจำเลยที่ 2 นั้นฟังไม่ขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสาม (3), 65 วรรคสอง พระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 7 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 86 และมาตรา 52 (1) ลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานเป็นผู้สนับสนุนการพยายามส่งเฮโรอีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ออกนอกราชอาญาจักรเพื่อจำหน่าย ให้จำคุกจำเลยที่ 1 ตลอดชีวิต ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 53 แล้วคงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 33 ปี 4 เดือน ข้อหาอื่นของจำเลยที่ 1 นอกจากนี้ให้ยก นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share