คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9350/2552

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินตามฟ้องโดยซื้อมาจากการขายทอดตลาดและโจทก์บอกกล่าวให้จำเลยทั้งสองกับบริวารขนย้ายหรือรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินดังกล่าว แต่จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์ซื้อที่ดินตามฟ้องมาจากการขายทอดตลาด แต่การยึดทรัพย์และขายทอดตลาดที่ดินดังกล่าวกระทำโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยไม่ได้ปฏิเสธข้อที่ว่าโจทก์ไม่ใช่เจ้าของที่ดิน ดังนี้ จึงถือได้ว่าจำเลยทั้งสองรับว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินตามฟ้อง กรณีจึงไม่จำต้องสืบพยาน ส่วนเรื่องการยึดทรัพย์และขายทอดตลาดที่ดินดังกล่าว เป็นเรื่องในชั้นบังคับคดีที่จำเลยทั้งสองต้องร้องขอเข้าไปในคดีที่มีการบังคับคดีนั้นตามที่กฎหมายบัญญัติไว้เป็นการเฉพาะให้ผู้มีส่วนได้เสียได้ยื่นคำขอโดยทำเป็นคำร้องก่อนการบังคับคดีได้เสร็จลงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 296 วรรคสอง คำให้การของจำเลยจึงไม่มีประเด็นข้อพิพาท การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานโจทก์และจำเลยแล้วพิพากษาคดีไปจึงชอบแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 3465 ตำบลบางเตย อำเภอบ้านสร้าง จังหวัดปราจีนบุรี โดยซื้อมาจากการขายทอดตลาด จำเลยทั้งสองพร้อมบริวารอาศัยอยู่บนสิ่งปลูกสร้างในที่ดินดังกล่าว โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยทั้งสองและบริวารออกจากที่ดินแล้ว แต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองพร้อมบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างบ้านเลขที่ 13 หมู่ที่ 2 ตำบลบางเตย อำเภอบ้านสร้างจังหวัดปราจีนบุรี ออกจากที่ดินของโจทก์ หากจำเลยทั้งสองไม่ดำเนินการ ให้โจทก์มีอำนาจรื้อถอนได้โดยให้จำเลยทั้งสองพร้อมบริวารออกค่าใช้จ่าย และห้ามจำเลยทั้งสองและบริวารเกี่ยวข้องกับที่ดินต่อไป หากจำเลยทั้งสองสร้างสิ่งอื่นใดขึ้นในภายหน้าให้จำเลยทั้งสองพร้อมบริวารรื้อถอนไปด้วย หากจำเลยทั้งสองพร้อมบริวารไม่ยอมรื้อถอนให้โจทก์มีอำนาจรื้อถอนโดยจำเลยทั้งสองเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย
จำเลยทั้งสองให้การ ขอให้ยกฟ้อง
โจทก์ยื่นคำร้องขอให้วินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายว่าคำให้การของจำเลยมิได้ให้การต่อสู้ว่า โจทก์มิใช่เจ้าของที่ดินตามฟ้อง โจทก์จึงเป็นเจ้าของที่ดิน มีอำนาจฟ้องขับไล่ และที่จำเลยให้การต่อสู้ว่า การขายทอดตลาดที่ดินตามฟ้องมิชอบด้วยกฎหมาย ก็เป็นเรื่องที่จำเลยจะต้องไปยื่นคำร้องในคดีเดิมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296
จำเลยทั้งสองยื่นคำแถลงคัดค้าน
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งงดสืบพยานและวินิจฉัยว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินตามฟ้องส่วนที่จำเลยให้การต่อสู้ว่า การขายทอดตลาดกระทำโดยมิชอบนั้น จำเลยจะต้องนำไปว่ากล่าวกันในคดีเดิมมิใช่ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ในคดีนี้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 เมื่อโจทก์บอกกล่าวจำเลยทั้งสองพร้อมบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์แล้ว แต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉย โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสองพร้อมบริวารออกจากที่ดินตามฟ้อง และพิพากษาให้จำเลยทั้งสองพร้อมบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดิน หากจำเลยทั้งสองไม่ดำเนินการ ให้โจทก์มีอำนาจรื้อถอนได้โดยให้จำเลยทั้งสองพร้อมบริวารออกค่าใช้จ่าย และห้ามจำเลยทั้งสองพร้อมบริวารเกี่ยวข้องกับที่ดินอีกต่อไป กับให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ กำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท ส่วนคำขอให้จำเลยทั้งสองและบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง หากจำเลยทั้งสองจะก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างอื่นใดขึ้นมาอีกในภายหน้านั้น เห็นว่า เป็นคำขอในอนาคตซึ่งยังไม่เกิดขึ้น ศาลจึงไม่พิพากษาให้
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน เว้นแต่ค่าทนายความในศาลชั้นต้นให้จำเลยทั้งสองใช้แทนโจทก์ 3,000 บาท และให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าทนายความในชั้นอุทธรณ์ 1,500 บาท แทนโจทก์
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่า การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานโจทก์และจำเลย แล้วพิพากษาคดีไปโดยวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายนั้น ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินตามฟ้อง โดยซื้อมาจากการขายทอดตลาดและโจทก์บอกกล่าวให้จำเลยทั้งสองกับบริวารขนย้ายหรือรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินดังกล่าว จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์ซื้อที่ดินตามฟ้องมาจากการขายทอดตลาด แต่การยึดทรัพย์และขายทอดตลาดที่ดินดังกล่าวกระทำโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยไม่ได้ปฏิเสธข้อที่ว่าโจทก์ไม่ใช่เจ้าของที่ดิน ดังนี้ จึงถือได้ว่าจำเลยทั้งสองรับว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินตามฟ้อง กรณีจึงไม่จำต้องสืบพยาน ส่วนเรื่องการยึดทรัพย์และขายทอดตลาดที่ดินดังกล่าว เป็นเรื่องในชั้นบังคับคดีที่จำเลยทั้งสองต้องร้องขอเข้าไปในคดีที่มีการบังคับคดีนั้นตามที่กฎหมายบัญญัติไว้เป็นการเฉพาะให้ผู้มีส่วนได้เสียยื่นคำขอโดยทำเป็นคำร้องก่อนการบังคับคดีได้เสร็จลงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 วรรคสอง คำให้การของจำเลยจึงไม่มีประเด็นข้อพิพาท การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานโจทก์และจำเลย แล้วพิพากษาคดีไปโดยวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายจึงชอบแล้ว ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าทนายความในชั้นฎีกา 1,500 บาทแทนโจทก์

Share