คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8414/2552

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นเพียงประเด็นเดียวเรื่องอายุความ เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 4 วินิจฉัยว่าคดีไม่ขาดอายุความ แม้ว่าคำฟ้องอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสองจะมิได้อุทธรณ์คัดค้านประเด็นพิพาทข้ออื่นๆ ไว้เนื่องจากประเด็นพิพาทข้ออื่นๆ นั้น ศาลชั้นต้นยังมิได้วินิจฉัยให้ก็ตาม แต่เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 4 เห็นว่า คดีนี้โจทก์ทั้งสองและจำเลยทั้งเจ็ดได้สืบพยานมาจนเสร็จสิ้นเพียงพอที่จะวินิจฉัยประเด็นข้ออื่นๆ ที่ยังไม่ได้วินิจฉัยให้เสร็จสิ้นไปเสียทีเดียวได้ ศาลอุทธรณ์ภาค 4 ย่อมมีอำนาจที่จะวินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทอื่นๆ ที่ศาลชั้นต้นยังมิได้วินิจฉัยให้คดีเสร็จไปเสียทีเดียว โดยไม่จำเป็นต้องย้อนสำนวนมาให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยตามลำดับชั้นศาลก็ได้
การสอบสวนทางวินัยเพราะเหตุบกพร่องต่อหน้าที่ราชการ เป็นคนละเรื่องกับการสอบสวนหาตัวผู้รับผิดชอบทางแพ่ง เพราะหลักเกณฑ์ความรับผิดทางวินัยกับความรับผิดทางแพ่งเป็นหลักเกณฑ์คนละกรณีกัน แม้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยผู้แทนของโจทก์ที่ 1 จะมีคำสั่งลงโทษแก่จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 แล้ว แต่โจทก์ที่ 2 ก็ได้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนเพื่อพิจารณาหาตัวผู้รับผิดทางแพ่งและต่อมาอธิบดีกรมการปกครองจึงมีบันทึกเสนอปลัดกระทรวงหมาดไทย สรุปความได้ว่า กองการสอบสวนและนิติการ กรมการปกครองมีความเห็นว่า ผลการสอบสวนมีข้อเท็จจริงเพียงพอที่จะดำเนินคดีอาญาและฟ้องคดีแพ่งเรื่องละเมิดแก่จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 และผู้เกี่ยวข้องได้
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยลงนามรับทราบ วันที่ 14 ตุลาคม 2538 ส่วนโจทก์ที่ 2 ได้รับหนังสือแจ้งเรื่องดังกล่าวจากปลัดกระทรวงมหาดไทยเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2538 กรณีจึงต้องถือว่าโจทก์ที่ 1 และที่ 2 เพิ่งรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนตั้งแต่วันดังกล่าว
ความรับผิดของบุคคลในทางอาญาต้องเป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมายอาญา ส่วนความรับผิดของบุคคลในทางแพ่งก็ต้องเป็นไปตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายอันว่าด้วยความรับผิดของบุคคลในทางแพ่ง หาได้เกี่ยวข้องกันไม่ ดังนั้น แม้พนักงานอัยการจังหวัดหนองคายจะมีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องคดีอาญาแก่จำเลยที่ 1 แล้วก็ตามโจทก์ทั้งสองก็ฟ้องคดีนี้เพื่อเรียกร้องให้จำเลยที่ 1 รับผิดทางแพ่งต่อโจทก์ทั้งสองได้

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสองฟ้องและแก้ไขคำฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยทั้งเจ็ดร่วมกันคืนเงินหรือชดใช้เงินจำนวน 15,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันทำละเมิดถึงวันฟ้องเป็นเงินจำนวน 19,804,457.05 บาท แก่โจทก์ทั้งสอง ให้จำเลยทั้งเจ็ดร่วมกันชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากต้นเงิน 15,000,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 1 ให้การว่า เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดหนองคาย ไม่ได้กระทำขัดต่อระเบียบแบบแผนของโจทก์ทั้งสอง ไม่ได้ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต และมิได้ประมาทเลินเล่อในการปฏิบัติหน้าที่ โจทก์ที่ 2 ฟ้องจำเลยที่ 6 และที่ 7 เรียกเงินคืนจำนวน 13,766,575.32 บาท ตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 579/2531 ของศาลชั้นต้นซึ่งเป็นหนี้รายเดียวกันกับคดีนี้เป็นการฟ้องซ้ำ ฟ้องโจทก์ทั้งสองขาดอายุความขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ให้การว่า ฟ้องโจทก์ทั้งสองขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 3 ให้การว่า ปฏิบัติหน้าที่ตามขั้นตอนของกฎหมาย ไม่ได้ทุจริตไม่ได้จงใจหรือประมาทเลินเล่อทำให้โจทก์ทั้งสองเสียหาย โจทก์ทั้งสองยังไม่ได้รับความเสียหายเพราะมีที่ดินของจำเลยที่ 7 ที่ยึดเป็นหลักประกันการกู้ยืมเงิน และโจทก์ทั้งสองไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยที่ค้างชำระเกินกว่า 5 ปี ฟ้องโจทก์ทั้งสองขาดอายุความขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 4 ให้การว่า โจทก์ทั้งสองไม่ได้เสียหายและฟ้องโจทก์ทั้งสองขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 5 ให้การว่า ฟ้องโจทก์ทั้งสองขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 6 และที่ 7 ให้การว่า จำเลยที่ 6 เป็นผู้กู้ยืมเงินและจำเลยที่ 7 เป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ตามฟ้องจริง แต่ไม่ได้กระทำให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหายฟ้องโจทก์ทั้งสองคดีนี้เป็นฟ้องซ้ำ ฟ้องซ้อนกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 579/2531 ของศาลชั้นต้น โจทก์ทั้งสองไม่มีอำนาจคิดดอกเบี้ยเกินกว่า 5 ปี ฟ้องโจทก์ทั้งสองขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งสอง ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความให้เป็นพับ
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ที่ 5 ที่ 6 และที่ 7 ร่วมกันชำระเงินจำนวน 4,303,528.75 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 15 มกราคม 2531 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสอง ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ทั้งสองและจำเลยที่ 1 และที่ 5 ฎีกา
ศาลฎีกาคณะคดีปกครองวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ประเด็นข้อแรกที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 5 มีว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 4 วินิจฉัยคดีมาโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ซึ่งประเด็นข้อนี้จำเลยที่ 1 และที่ 5 ฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 ว่า โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นเพียงประเด็นเดียวเรื่องอายุความ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 วินิจฉัยประเด็นพิพาทข้ออื่นๆ อีก 4 ประเด็นจึงเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เห็นว่า คดีนี้เมื่อศาลชั้นต้นพิจารณาเสร็จแล้วในการพิพากษาคดีศาลชั้นต้นวินิจฉัยในปัญหาข้อกฎหมายว่า ฟ้องของโจทก์ทั้งสองเกี่ยวกับจำเลยที่ 6 และที่ 7 ไม่เป็นฟ้องซ้อนหรือฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 5739/2531 ของศาลชั้นต้น และวินิจฉัยประเด็นพิพาทประการต่อไปว่า คดีของโจทก์ทั้งสองเกี่ยวกับจำเลยทั้งเจ็ดขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคหนึ่งแล้ว จึงพิพากษายกฟ้องโดยมิได้วินิจฉัยประเด็นพิพาทข้ออื่นๆ อีก โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์คัดค้านว่า คดีของโจทก์ทั้งสองไม่ขาดอายุความและขอให้ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งเจ็ดร่วมกันรับผิดฐานละเมิดแก่โจทก์ทั้งสองตามฟ้อง โดยเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ตามทุนทรัพย์ที่เรียกร้องมาครบถ้วนแล้วด้วย ดังนี้ เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 4 วินิจฉัยว่าคดีไม่ขาดอายุความ แม้ว่าคำฟ้องอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสองจะมิได้อุทธรณ์คัดค้านประเด็นพิพาทข้ออื่นๆ ไว้เนื่องจากประเด็นพิพาทข้ออื่นๆ นั้นศาลชั้นต้นยังมิได้วินิจฉัยให้ก็ตาม แต่เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 4 เห็นว่า คดีนี้โจทก์ทั้งสองและจำเลยทั้งเจ็ดได้สืบพยานมาจนเสร็จสิ้นเพียงพอที่จะวินิจฉัยประเด็นข้ออื่นๆ ที่ยังมิได้วินิจฉัยให้เสร็จสิ้นไปเสียทีเดียวได้ ศาลอุทธรณ์ภาค 4 ย่อมมีอำนาจที่จะวินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทอื่นๆ ที่ศาลชั้นต้นยังมิได้วินิจฉัยให้คดีเสร็จไปเสียทีเดียว โดยไม่จำเป็นต้องย้อนสำนวนมาให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยตามลำดับชั้นศาลก็ได้ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว หาใช่เป็นการวินิจฉัยคดีโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายไม่ ฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 5 ในประเด็นข้อแรกนี้จึงฟังไม่ขึ้น
ประเด็นวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 5 ประการต่อมาเรื่องอายุความนั้นจำเลยที่ 1 และที่ 5 ฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 ว่า นายบรรหาร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ผู้แทนของโจทก์ที่ 1 ได้ลงนามรับทราบคำสั่งลงโทษทางวินัยตัดเงินเดือนจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ตามเอกสารหมาย ล.13 เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2533 จึงถือได้ว่า โจทก์ทั้งสองได้รู้หรือควรรู้ถึงตัวผู้ที่จะต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตั้งแต่วันดังกล่าว ซึ่งเมื่อนับถึงวันฟ้องคือวันที่ 11 ตุลาคม 2539 คดีจึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคหนึ่ง ดังคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นแล้วนั้น เห็นว่า แม้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยผู้แทนของโจทก์ที่ 1 จะมีคำสั่งลงโทษทางวินัยแก่จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2533 ก็ตาม แต่คำสั่งลงโทษทางวินัยดังกล่าวก็สรุปการกระทำของจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ว่า ไม่ปรากฏหลักฐานว่าเป็นการทุจริต หากแต่เป็นเรื่องการปฏิบัติหน้าที่ราชการบกพร่องเท่านั้น โจทก์ที่ 2 จึงได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนเพื่อพิจารณาหาตัวผู้รับผิดทางแพ่งตามคำสั่งที่ 3713/2535 ลงวันที่ 24 พฤศจิกายน 2535 แต่ผลการสอบสวนก็ยังไม่ปรากฏชัดแจ้ง ต่อมาวันที่ 12 ตุลาคม 2538 อธิบดีกรมการปกครองจึงมีบันทึกเสนอปลัดกระทรวงมหาดไทยสรุปความได้ว่ากองการสอบสวนและนิติการ กรมการปกครองมีความเห็นว่า ผลการสอบสวนมีข้อเท็จจริงเพียงพอที่จะดำเนินการคดีอาญาและฟ้องคดีแพ่งเรื่องละเมิดแก่จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 และผู้เกี่ยวข้องได้ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยลงนามรับทราบวันที่ 14 ตุลาคม 2538 ส่วนโจทก์ที่ 2 ได้รับหนังสือแจ้งเรื่องดังกล่าวจากปลัดกระทรวงมหาดไทยเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2538 กรณีจึงต้องถือว่า โจทก์ที่ 1 และที่ 2 เพิ่งรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนตั้งแต่วันดังกล่าว ซึ่งเมื่อนับถึงวันฟ้องคือวันที่ 11 ตุลาคม 2539 ยังไม่พ้นกำหนด 1 ปี คดีของโจทก์ทั้งสองจึงยังไม่ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคหนึ่ง ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาโต้แย้งว่าความเห็นของกองการสอบสวนและนิติการมิใช่ความเห็นของคณะกรรมการสอบสวนหาตัวผู้รับผิดชอบทางแพ่งซึ่งตั้งขึ้นตามระเบียบแบบแผนของทางราชการ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 รับฟังข้อเท็จจริงจากเอกสารดังกล่าวจึงคลาดเคลื่อนไม่ชอบด้วยหลักการรับฟังพยานหลักฐาน และเป็นการขยายอายุความคดีละเมิด 1 ปี ไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เห็นว่า คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 4 ที่รับฟังข้อเท็จจริงจากเอกสารที่อธิบดีกรมการปกครองมีบันทึกเสนอปลัดกระทรวงมหาดไทย สรุปความว่า กองการสอบสวนและนิติการมีความเห็นว่า ผลการสอบสวนมีข้อเท็จจริงเพียงพอที่จะดำเนินคดีอาญาและฟ้องคดีแพ่งเรื่องละเมิดแก่จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 และผู้เกี่ยวข้องได้นั้น เป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานในสำนวนเพื่อชี้ขาดในประเด็นว่า โจทก์ทั้งสองรู้ถึงการกระทำละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนในวันใด อันเป็นวันเริ่มนับกำหนดอายุความ 1 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคหนึ่งการรับฟังข้อเท็จจริงจากเอกสารดังกล่าวจึงไม่เป็นการคลาดเคลื่อนและไม่ชอบด้วยหลักการรับฟังพยานหลักฐาน และหาเป็นการขยายอายุความละเมิด 1 ปี ดังที่จำเลยที่ 1 กล่าวอ้างในฎีกาไม่ ส่วนที่จำเลยที่ 1 ฎีกากล่าวอ้างว่า หลังจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยลงนามรับทราบคำสั่งลงโทษทางวินัยแก่จำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2533 แล้ว กระทรวงมหาดไทยยังตั้งคณะกรรมการสอบสวนเพื่อหาตัวผู้รับผิดชอบทางแพ่งอีกเป็นการพยายามขยายอายุความฟ้องคดีละเมิดออกไปอีกนั้น เห็นว่า การสอบสวนทางวินัยเพราะเหตุบกพร่องต่อหน้าที่ราชการนั้น เป็นคนละเรื่องกับการสอบสวนหาตัวผู้รับผิดชอบทางแพ่ง เพราะหลักเกณฑ์ความรับผิดทางวินัยกับความรับผิดทางแพ่งเป็นหลักเกณฑ์คนละกรณีกัน การบกพร่องต่อหน้าที่ราชการซึ่งต้องรับผิดทางวินัยนั้นอาจไม่เข้าเกณฑ์ความรับผิดทางแพ่งฐานละเมิดก็ได้ เมื่อผลของคำสั่งลงโทษทางวินัยยังไม่ปรากฏหลักฐานชัดแจ้งว่าจำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดชอบทางแพ่งหรือไม่ โจทก์ที่ 2 ก็ชอบที่จะตั้งคณะกรรมการสอบสวนเพื่อหาตัวผู้รับผิดชอบทางแพ่งอีกได้ และการดำเนินการดังกล่าวก็เป็นไปตามระเบียบแบบแผนของทางราชการแล้ว หาใช่เป็นการกระทำโดยไม่ชอบหรือมีเจตนากระทำเพื่อขยายอายุความฟ้องคดีละเมิดดังที่จำเลยที่ 1 กล่าวอ้างในฎีกาไม่ ศาลอุทธรณ์ภาค 4 วินิจฉัยในประเด็นเรื่องอายุความมาชอบด้วยเหตุผลแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 5 ในประเด็นเรื่องอายุความฟังไม่ขึ้น
ประเด็นวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 5 ประการต่อไปว่า จำเลยที่ 1 และที่ 5 กระทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งสองหรือไม่ ข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 รับฟังมาซึ่งจำเลยที่ 1 และที่ 5 มิได้ฎีกาโต้เถียงเป็นอย่างอื่น ฟังได้เป็นยุติว่า ห้างหุ้นส่วนจำกัดภูพานพัฒนากิจไทย โดยจำเลยที่ 6 หุ้นส่วนผู้จัดการได้เข้าร่วมโครงการแทรกแซงตลาดข้าวเปลือกนาปีฤดูการผลิตปี 2528/2529 และ 2529/2530 ของโจทก์ทั้งสอง โดยทำสัญญากู้ยืมเงินและรับเงินที่กู้ยืมจากโจทก์ที่ 2 จำนวน 3 ครั้ง ครั้งแรกเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2529 จำนวนเงิน 3,500,000 บาท มีจำเลยที่ 7 เป็นผู้ค้ำประกันและจำเลยที่ 7 ใช้ที่ดินหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 2653 ถึง 2662 ตำบลม่วง อำเภอบ้านม่วง จังหวัดสกลนคร จำนวน 10 แปลง เป็นหลักประกันตามสัญญากู้ยืมเงินและบันทึกรายละเอียดรายการที่ดินที่นำมาประกันต่อท้ายสัญญาเอกสารหมาย จ.69 ครั้งที่สองเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2529 จำนวนเงิน 3,500,000 บาท มีจำเลยที่ 7 เป็นผู้ค้ำประกัน และจำเลยที่ 7 ใช้ที่ดินหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 708 เลขที่ 2626 ถึง 2629 เลขที่ 2663 เลขที่ 2664 และเลขที่ 2678 ถึงเลขที่ 2686 ตำบลม่วง อำเภอบ้านม่วง จังหวัดสกลนคร จำนวน 16 แปลง เป็นหลักประกัน ตามสัญญากู้ยืมเงิน บันทึกรายละเอียดรายการที่ดินที่นำมาประกันต่อท้ายสัญญาและสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย จ.70 ครั้งที่สามเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2530 จำนวน 8,000,000 บาท มีจำเลยที่ 7 เป็นผู้ค้ำประกันและจำเลยที่ 7 ใช้ที่ดินหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 695 เลขที่ 2615 ถึง 2625 เลขที่ 2717 ถึง 2729 และเลขที่ 2731 ถึงเลขที่ 2741 ตำบลม่วง อำเภอบ้านม่วง จังหวัดสกลนคร จำนวน 36 แปลง เป็นหลักประกัน ตามสัญญากู้ยืมเงินบันทึกรายละเอียดรายการที่ดินที่นำมาประกันต่อท้ายสัญญาและค้ำประกันเอกสารหมาย จ.71 หลังจากทำสัญญากู้ยืมเงินดังกล่าวแล้ว จำเลยที่ 7 นำหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ดินจำนวน 62 แปลง ที่เป็นหลักประกันดังกล่าวมาจดทะเบียนจำนองแก่โจทก์ที่ 2 เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2530 และจำเลยที่ 7 นำเงินมาชำระให้โจทก์ที่ 2 จำนวน 2,000,000 บาท เมื่อวันที่ 14 มกราคม 2531 แล้วผิดนัดไม่ชำระหนี้ โจทก์ที่ 2 ฟ้องจำเลยที่ 6 และที่ 7 ให้ชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินทั้งสามฉบับ ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้จำเลยที่ 6 และที่ 7 ชำระหนี้แต่จำเลยที่ 6 และที่ 7 ไม่ชำระ โจทก์ที่ 2 จึงยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดแต่ขายไม่ได้ รายละเอียดปรากฏตามถ้อยคำสำนวนในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 579/2531 ของศาลชั้นต้น เป็นเหตุให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหาย ตามข้อเท็จจริงที่ฟังได้เป็นยุติดังกล่าว คดีจึงมีปัญหาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 และที่ 5 มีส่วนรู้เห็นและปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ทั้งสองในการดำเนินโครงการแทรกแซงตลาดข้าวเปลือกดังกล่าวหรือไม่ โจทก์ทั้งสองมีนายสุชัย นายภูมิพิทักษ์ นายสงวน ร้อยเอกสุรจิตร นายทรงชัย นางบัวเรียน นายก่าย นายโกสุม และนายคำตัน เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินโครงการแทรกแซงตลาดข้าวเปลือกนาปีฤดูการผลิตปี 2528/2529 และ 2529/2530 ของโจทก์ทั้งสองเบิกความสอดคล้องกันว่า จำเลยที่ 7 ได้มาติดต่อจำเลยที่ 2 ขอให้ห้างหุ้นส่วนจำกัดภูพานพัฒนกิจไทย ซึ่งมีจำเลยที่ 6 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการเข้าร่วมโครงการแทรกแซงตลาดข้าวเปลือกของโจทก์ทั้งสองโดยจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นผู้ดำเนินการขออนุมัติ ส่วนจำเลยที่ 1 เป็นผู้อนุมัติให้ห้างหุ้นส่วนจำกัด ภูพานพัฒนกิจไทย ใช้ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เป็นหลักประกันเงินกู้แทนการมีหนังสือสัญญาค้ำประกันของธนาคารตามระเบียบของโจทก์ทั้งสองที่กำหนดไว้แต่เดิม โดยไม่ได้ตรวจสอบให้แน่ชัดว่าที่ดินที่ใช้เป็นหลักประกันนั้นมีราคาซื้อขายในท้องตลาดอันเป็นราคาที่แท้จริงเพียงพอกับจำนวนเงินที่ได้อนุมัติให้กู้ยืมเงินหรือไม่ จำเลยที่ 2 และที่ 3 เพียงแต่ติดต่อกับจำเลยที่ 5 ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานที่ดินอำเภอบ้านม่วง ซึ่งที่ดินพิพาทตั้งอยู่ในเขตให้เป็นผู้ประเมินราคาที่ดินแล้วแจ้งมายังโจทก์ที่ 2 ว่า ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่เป็นหลักประกันจำนวน 62 แปลง ราคาประเมินกำหนดไร่ละ 160,000 บาท ซึ่งความจริงแล้วที่ดินดังกล่าวสภาพเดิมเป็นที่ดินทุ่งนาและป่ารกร้างอยู่นอกเขตชุมชน มีราคาประเมินเพียงไร่ละ 16,000 บาท จำเลยที่ 7 ซื้อที่ดินดังกล่าวจากเจ้าของเดิมในราคาถูกแล้วนำมาปรับสภาพที่ดินทำถนนลูกรังชั่วคราวรอบที่ดินที่แบ่งแยกและให้จำเลยที่ 5 เป็นผู้ดำเนินการแบ่งแยกที่ดินเป็นแปลงย่อยเพื่อให้เข้าหลักเกณฑ์ว่าเป็นที่อยู่อาศัยติดทางสาธารณะ มีราคาประเมินไร่ละ 160,000 บาท ซึ่งไม่ตรงกับราคาที่ดินที่แท้จริงเป็นเหตุให้โจทก์ที่ 2 ไม่สามารถบังคับคดีนำที่ดินที่เป็นหลักประกันดังกล่าวออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้เงินกู้ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นในคดีหมายเลขแดงที่ 579/2531 ที่พิพากษาให้จำเลยที่ 6 และที่ 7 ชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินได้ทำให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหายพยานโจทก์ทั้งสองทุกปากดังกล่าวต่างมีส่วนเกี่ยวข้องกับการดำเนินโครงการนี้โดยนายสุชัยเป็นผู้ช่วยจ่าจังหวัดหนองคาย และเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของจำเลยที่ 1 มีส่วนรู้เห็นในขณะที่จำเลยที่ 6 และที่ 7 เสนอตัวเข้าร่วมโครงการดังกล่าวกับโจทก์ทั้งสองมาแต่ต้น ร้อยเอกสุรจิตรและนายทรงชัยเป็นคณะกรรมการทำหน้าที่ตรวจสภาพที่ดินที่จำเลยที่ 6 และที่ 7 นำมาเป็นหลักประกัน นางบัวเรียนและนายก่ายเป็นเจ้าของที่ดินเดิมก่อนขายให้จำเลยที่ 7 นายโกสุมเป็นบุตรของนายศรีเมืองผู้ขายที่ดินให้แก่จำเลยที่ 7 นายคำตันเป็นเจ้าของที่ดินที่อยู่ใกล้เคียงกับที่ดินพิพาท และนายสงวนกับนายภูมิพิทักษ์เป็นคณะกรรมการประสานงานและรวบรวมหลักฐานในการดำเนินคดีแพ่งและคดีอาญาที่ได้ทำหน้าที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง สภาพที่ดินและสอบพยานบุคคลที่เกี่ยวข้องทุกคนไม่ปรากฏว่าพยานโจทก์ทั้งสองทุกคนดังกล่าวมีสาเหตุโกรธเคืองอะไรกับจำเลยที่ 1 และที่ 5 มาก่อน และต่างก็เบิกความไปตามหน้าที่ที่ได้ปฏิบัติหรือตามข้อเท็จจริงที่ตนมีส่วนรู้เห็นเกี่ยวข้อง และในประการสำคัญคือข้อเท็จจริงตามคำพยานโจทก์ทั้งสองทุกปากดังกล่าว ล้วนมีข้อเท็จจริงสอดคล้องเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกันเป็นลำดับขั้นตอนอย่างเป็นเหตุเป็นผล แสดงให้เห็นชัดแจ้งถึงวิธีการที่จำเลยที่ 6 และที่ 7 ได้เข้าร่วมโครงการแทรกแซงตลาดข้าวเปลือกของโจทก์ทั้งสองโดยมีจำเลยที่ 1 และที่ 5 กับจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 เป็นผู้ให้การสนับสนุนให้จำเลยที่ 6 และที่ 7 ใช้ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่มีราคาแท้จริงในท้องตลาดต่ำกว่าราคาประเมินมากมาประเมินราคาให้สูงกว่าความเป็นจริง อันเป็นการจงใจฉ้อฉลให้เกิดความเสียหายต่อโครงการของโจทก์ทั้งสองอย่างสมเหตุผล ที่จำเลยที่ 1 และที่ 5 ฎีกาโต้แย้งว่า จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้ว่าราชการจังหวัดได้ปฏิบัติหน้าที่ราชการตามโครงการแทรกแซงตลาดข้าวเปลือกของกระทรวงมหาดไทยถูกต้องครบถ้วน มิได้ประมาทเลินเล่อหรือปฏิบัติหน้าที่บกพร่องทำให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ทั้งสอง เพราะการสั่งการของจำเลยที่ 1 ทุกขั้นตอนจะมีผู้ใต้บังคับบัญชาตามตำแหน่งหน้าที่เสนอเรื่องขึ้นมาส่วนจำเลยที่ 5 เป็นเจ้าพนักงานที่ดินไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องรับผิดชอบในโครงการของโจทก์ทั้งสอง แต่ได้ประเมินราคาและแบ่งแยกที่ดินให้แก่จำเลยที่ 7 ไปตามอำนาจหน้าที่นั้น ไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะรับฟังหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ทั้งสองดังที่วินิจฉัยมาข้างต้นได้ ส่วนที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า พนักงานอัยการจังหวัดหนองคายมีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องคดีอาญาแก่จำเลยที่ 1 แล้ว มูลละเมิดทางแพ่งย่อมเกิดขึ้นไม่ได้นั้น เห็นว่า ในการวินิจฉัยคดีส่วนแพ่งของคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญานั้น ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 47 บัญญัติว่า “คำพิพากษาคดีส่วนแพ่งต้องเป็นไปตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายอันว่าด้วยความรับผิดของบุคคลในทางแพ่ง โดยไม่ต้องคำนึงว่าจำเลยต้องคำพิพากษาว่าได้กระทำความผิดหรือไม่” ซึ่งแสดงให้เห็นหลักการสำคัญว่า บทบัญญัติของกฎหมายอันว่าด้วยความรับผิดของบุคคลในทางอาญาและในทางแพ่งนั้น เป็นคนละส่วนแยกออกต่างหากจากกัน หาใช่หลักเกณฑ์เดียวกันไม่ โดยเหตุนี้แม้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 จะบัญญัติว่าการพิพากษาส่วนแพ่ง ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาก็ตาม แต่ในข้อเท็จจริงที่ยุติตามคำพิพากษาในคดีส่วนอาญาแล้วนั้นความรับผิดของบุคคลในทางอาญาต้องเป็นไปตามบัญญัติของกฎหมายอาญา ส่วนความรับผิดของบุคคลในทางแพ่งก็ต้องเป็นไปตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายอันว่าด้วยความรับผิดของบุคคลในทางแพ่งหาได้เกี่ยวข้องกันไม่ ดังนั้น แม้พนักงานอัยการจังหวัดหนองคายจะมีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องคดีอาญาแก่จำเลยที่ 1 แล้วก็ตาม โจทก์ทั้งสองก็ฟ้องคดีนี้เพื่อเรียกร้องให้จำเลยที่ 1 รับผิดทางแพ่งต่อโจทก์ทั้งสองได้ ฎีกาข้อนี้ของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
ประเด็นตามฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 5 ประการต่อไปที่ว่า ฟ้องของโจทก์ทั้งสองในคดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 579/2531 ของศาลชั้นต้นนั้น เห็นว่า เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องของโจทก์ทั้งสอง โดยเห็นว่าคดีของโจทก์ขาดอายุความนั้น ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยว่าฟ้องของโจทก์ทั้งสองในคดีนี้ไม่เป็นฟ้องซ้ำกับคดีดังกล่าว จำเลยที่ 1 และที่ 5 ต่างมิได้อุทธรณ์หรือแก้อุทธรณ์ตั้งประเด็นเรื่องฟ้องซ้ำไว้ ดังนั้น การที่จำเลยที่ 1 และที่ 5 แพ้คดีในชั้นอุทธรณ์แล้ว จำเลยที่ 1 และที่ 5 จึงหวนกลับมาหยิบยกประเด็นเรื่องฟ้องซ้ำขึ้นกล่าวอ้างอีก จึงเป็นการฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ภาค 4 ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาข้อนี้ของจำเลยที่ 1 และที่ 5 มาโดยไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้สำหรับฎีกาของโจทก์ทั้งสองในประการสุดท้ายที่ขอให้บังคับจำเลยทั้งเจ็ดร่วมกันชดใช้เงินที่ห้างหุ้นส่วนจำกัด ภูพานพัฒนกิจไทย กู้ยืมไปเต็มจำนวน 15,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ทั้งสองตามฟ้องนั้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าการสมคบร่วมกันกระทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งสองเป็นเหตุให้จำเลยที่ 6 และที่ 7 ได้รับเงินกู้ยืมไปจากโจทก์ที่ 2 รวม 4 ครั้ง ครั้งแรก ตามฎีกาเงินนอกงบประมาณและใบสำคัญรับเงินเอกสารหมาย จ.23 และ จ.24 จำนวนเงิน 3,500,000 บาท เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2529 ครั้งที่ 2 ตามฎีกาเงินนอกงบประมาณและใบสำคัญรับเงินเอกสารหมาย จ.42 จ.43 และ จ.44 จำนวนเงิน 3,500,000 บาท เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2529 ครั้งที่ 3 ตามฎีกาเงินนอกงบประมาณและใบสำคัญรับเงินเอกสารหมาย จ.62 และ จ.63 จำนวนเงิน 4,000,000 บาท เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2530 และครั้งที่ 4 ตามฎีกาเงินนอกงบประมาณและใบสำคัญรับเงินเอกสารหมาย จ.64 และ จ.65 จำนวนเงิน 4,000,000 บาท เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2530 จำเลยทั้งเจ็ดผู้ร่วมกันกระทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งสอง จึงต้องร่วมกันรับผิดคืนต้นเงินจำนวนดังกล่าวเต็มจำนวนให้แก่โจทก์ทั้งสองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 438 วรรคสอง ที่บัญญัติว่า “อนึ่งค่าสินไหมทดแทนนั้น ได้แก่การคืนทรัพย์สินอันผู้เสียหายต้องเสียไปเพราะละเมิด…” ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 วินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายในประเด็นนี้ว่า จำนวนเงินกู้ที่โจทก์ทั้งสองจ่ายไปไม่ใช่ความเสียหายอันเกิดจากการละเมิด เนื่องจากการกู้เงินมีการใช้ที่ดินจำนองเป็นประกันความเสียหายที่แท้จริงอันเกิดจากการละเมิดคือส่วนต่างของจำนวนเงินที่กู้ยืมกับราคาอันแท้จริงของที่ดินหลักประกันเงินกู้ในขณะทำสัญญากู้ยืมเงิน จึงวินิจฉัยพยานหลักฐานในสำนวนแล้ว ฟังข้อเท็จจริงว่าที่ดินจำนวนทั้ง 62 แปลง มีราคาที่แท้จริงเฉลี่ยไร่ละ 70,000 บาท แล้วคำนวณหาผลต่างของจำนวนเงินตามสัญญากู้กับราคาที่แท้จริงของที่ดินที่ใช้เป็นหลักประกันแล้วกำหนดเป็นค่าเสียหายที่จำเลยทั้งเจ็ดต้องร่วมกันรับผิดต่อโจทก์ทั้งสองนั้น นอกจากจะไม่เป็นไปตามหลักกฎหมายเรื่องค่าสินไหมทดแทนเพื่อละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 438 วรรคสอง ดังที่ได้วินิจฉัยมาข้างต้นแล้ว การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 นำราคาอันแท้จริงของที่ดินที่จำเลยที่ 6 และที่ 7 จดทะเบียนจำนองเป็นหลักประกันมาคำนวณหักออกจากจำนวนเงินที่จำเลยทั้งเจ็ดฉ้อฉลเอาไปจากโจทก์ที่ 2 ทั้งๆ ที่ไม่ปรากฏว่าโจทก์ที่ 2 ผู้รับจำนองได้ดำเนินการบังคับจำนองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 729 ด้วยการเรียกเอาทรัพย์สินจำนองหลุดเป็นสิทธิแล้วนั้น ก็มิได้เป็นไปตามหลักกฎหมายอันว่าด้วยการบังคับจำนองด้วย ศาลฎีกาจึงไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ทั้งสองในประเด็นนี้ก็ฟังขึ้นเช่นกัน แต่ที่โจทก์ทั้งสองฟ้องและกล่าวอ้างในฎีกาขอให้จำเลยทั้งเจ็ดชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากต้นเงินที่จำเลยที่ 6 และที่ 7 รับไปแต่ละงวดจนถึงวันฟ้องนั้น เห็นว่า ที่โจทก์ทั้งสองเรียกร้องให้จำเลยทั้งเจ็ดร่วมกันชำระดอกเบี้ยจากต้นเงินที่รับไปแต่ละงวดจนถึงวันฟ้องนั้น ย่อมชอบที่โจทก์ทั้งสองจะมีสิทธิเรียกร้องได้เพราะประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 206 บัญญัติว่า “ในกรณีหนี้อันเกิดแต่มูลละเมิด ลูกหนี้ได้ชื่อว่าผิดนัดมาแต่เวลาที่ทำละเมิด” แต่ในส่วนของอัตราดอกเบี้ยผิดนัด มาตรา 224 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “หนี้เงินนั้น ท่านให้คิดดอกเบี้ยในระหว่างเวลาผิดนัดร้อยละเจ็ดกึ่งต่อปี ถ้าเจ้าหนี้อาจจะเรียกดอกเบี้ยได้สูงกว่านั้นโดยอาศัยเหตุอย่างอื่นอันชอบด้วยกฎหมาย ก็ให้คงส่งดอกเบี้ยต่อไปตามนั้น” โจทก์ทั้งสองจึงคิดดอกเบี้ยได้เพียงอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ที่โจทก์ทั้งสองกล่าวอ้างข้อตกลงในสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.69 จ.70 และ จ.71 ซึ่งมีข้อความอย่างเดียวกันในข้อ 11 ระบุว่า หากห้างหุ้นส่วนจำกัด ภูพานพัฒนกิจไทย ผู้กู้ผิดสัญญายอมเสียดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ที่ 2 ผู้ให้กู้ในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี และเรียกร้องให้จำเลยทั้งเจ็ดชำระดอกเบี้ยในอัตราดังกล่าว นั้น เห็นว่า สัญญากู้เอกสารหมาย จ.69 จ.70 และ จ.71 เป็นเพียงเครื่องมือที่จำเลยทั้งเจ็ดใช้ในการฉ้อฉลกระทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งสองเท่านั้น อีกทั้งคดีนี้โจทก์ทั้งสองมิได้ฟ้องให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรับผิดชำระหนี้ตามสัญญากู้เงินทุกฉบับดังกล่าว หากแต่เป็นการฟ้องให้จำเลยทั้งเจ็ดร่วมกันรับผิดฐานกระทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งสอง โจทก์ทั้งสองจึงไม่ชอบที่จะนำข้อตกลงในสัญญากู้ดังกล่าวมากล่าวอ้างว่า โจทก์ทั้งสองอาจจะเรียกดอกเบี้ยได้สูงกว่าร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี โดยอาศัยเหตุอย่างอื่นอันชอบด้วยกฎหมายตามนัยแห่งมาตรา 224 วรรคหนึ่งตอนท้ายได้ ดังนั้นโจทก์ทั้งสองคงมีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยทั้งเจ็ดร่วมกันรับผิดในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีตามมาตรา 224 วรรคหนึ่งตอนต้นเท่านั้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งเจ็ดร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์ทั้งสองจำนวน 3,500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี คิดตั้งแต่วันที่ 22 ตุลาคม 2529 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ชำระเงินจำนวน 3,500,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราเดียวกัน คิดตั้งแต่วันที่ 18 พฤศจิกายน 2529 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ชำระเงินจำนวน 4,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราเดียวกัน คิดตั้งแต่วันที่ 31 มีนาคม 2530 จนกว่าจะชำระเสร็จ และชำระเงินจำนวน 4,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราเดียวกัน คิดตั้งแต่วันที่ 12 พฤษภาคม 2530 จนกว่าจะชำระเสร็จโดยให้นำเงินจำนวน 2,000,000 บาท ที่ได้ชำระให้แก่โจทก์ที่ 2 แล้ว เมื่อวันที่ 14 มกราคม 2531 มาจัดใช้เป็นค่าดอกเบี้ยที่ค้างชำระจนถึงวันดังกล่าวก่อน และในที่สุดจึงให้ใช้ในการชำระหนี้อันเป็นประธานตามนัยแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 329 กับให้จำเลยที่ 1 ที่ 4 และที่ 5 ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาแทนโจทก์ทั้งสอง โดยกำหนดค่าทนายความให้ 10,000 บาท นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4

Share