คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 131/2502

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ที่ร่วมไปกับจำเลย พูดเป็นการทักท้วงการกระทำของจำเลยผู้ลงมือกระทำขึ้นในขณะนั้นว่า อ้าว ทำไมไปทำเขาอย่างนั้น อย่างนี้พากันฉิบหายหมด และเพื่อเกิดเหตุแล้ว ก็พลอยหนีไปด้วยและไปตามถนนอย่างธรรมดา เช่นนี้ แสดงว่าผู้ที่ไปด้วยกับจำเลยนั้น มิได้ร่วมมือกระทำผิดด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อ ๑ มิถุนายน ๒๕๐๐ จำเลยกับพวกอีกคนหนึ่งบังอาจร่วมกันกระทำผิด้วยกัน มีอาวุธปืนและมีดเป็นอาวุธปล้นเอารถจักรยาน ๑ คัน ราคา ๙๕๐ บาท ของนายอวบ แซ่คูไป
จำเลยที่ ๑ รับสารภาพ
จำเลยที่ ๒-๓ ปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นฟังว่า จำเลยทั้ง ๓ กระทำผิดตามฟ้อง ผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๐-๘๓ จำคุกคนละ ๑๐ ปี ลดโทษจำเลยที่ ๑ ตาม ม.๗๘ กึ่งหนึ่ง จำคุก ๕ ปี จำเลยที่ ๒ อายุ ๑๙ ปี ลดมาตราส่วนโทษลง ๑ ใน ๓ ตาม ม.๗๖ จำคุก ๘ ปี ๖ เดือน และลดตาม ม. ๗๘ อีก ๑ ใน ๓ จำคุก ๔ ปี ๕ เดือน ๑๐ วัน ของกลางริบและให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ ๙๕๐ บาท แก่เจ้าทรัพย์
จำเลยที่ ๒ – ๓ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ฟังว่า จำเลยที่ ๒ – ๓ ไม่ได้ร่วมมือด้วย เพียงจำเลยที่ ๑ กับอีกคนหนึ่งเท่านั้นกระทำ จำเลยที่ ๑ จึงผิดฐานชิงทรัพย์ แม้จำเลยที่ ๑ ไม่ได้อุทธรณ์ แต่เป็นเหตุในลักษณะคดี จึงพิพากษาแก้ว่า จำเลยที่ ๑ ผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ม.๓๓๙ จำคุก ๘ ปี ลดตาม ม. ๗๔ กึ่งหนึ่ง จำคุก ๔ ปี ยกฟ้องโจทก์เฉพาะจำเลยที่ ๒ – ๓ ของกลางเฉพาะมีดพก ๑ เล่ม คืนจำเลยที่ ๒ นอกนั้นเป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลย ทั้ง ๓ ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่จำเลยที่ ๒ -๓ ได้พูดเป็นการทักท้วงการกระทำของจำเลยที่ ๑ และอีกคนหนึ่งผู้ลงมือชิงทรัพย์ของผู้เสียหายขึ้นในขณะนั้น เป็นการแสดงให้เห็นว่า จำเลยที่ ๒-๓ พลอยหนีไปด้วย อาจเกิดจากความกลัวที่เห็นว่าตนมากับคนร้ายก็เป็นได้ และตอนจำเลยที่ ๑ วิ่งไปเกาะท้ายรถจักรยานจำเลยที่ ๒ นั้น จำเลยที่ ๑ ขู่จะยิง ระหว่างทางมีทางแยกที่จะหนีไปได้หลายแห่ง แต่จำเลยที่ ๒ ก็คงขี่รถจักรยานไปตามถนนตลอดไป เป็นเหตุที่แสดงว่า จำเลยที่ ๒- ๓ มิได้ร่วมมือกับคนร้ายพิพากษายืน

Share