คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3490/2553

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

การที่จะเป็นความผิดฐานบุกรุกจำเลยจะต้องกระทำโดยมีเจตนาบุกรุกด้วยกล่าวคือ จำเลยจะต้องรู้ว่าที่ดินที่หาว่าจำเลยบุกรุกนั้นเป็นของผู้เสียหายทั้งสาม แต่คดีนี้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการครอบครองที่ดินหรือความเป็นเจ้าของที่ดินที่หาว่าจำเลยบุกรุกโจทก์และจำเลยยังนำสืบโต้แย้งกันอยู่ โดยโจทก์นำสืบว่าที่ดินเป็นของผู้เสียหายทั้งสามผู้เสียหายทั้งสามครอบครองที่ดินตลอดมาตั้งแต่ปี 2525 ส่วนจำเลยนำสืบว่าที่ดินเป็นของจำเลย จำเลยซื้อมาจาก ช. ตั้งแต่ปี 2537 แล้วจำเลยครอบครองตลอดมาฝ่ายผู้เสียหายมิได้ครอบครองแต่อย่างใด ที่ดินไม่ใช่เป็นของผู้เสียหายทั้งสาม แม้ทางราชการออกโฉนดที่ดินให้แก่ผู้เสียหายทั้งสาม จำเลยก็นำสืบอยู่ว่าโฉนดที่ดินออกมาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายซึ่งจำเลยไม่รู้มาก่อนและไม่ยอมรับว่าที่ดินเป็นของผู้เสียหายทั้งสาม เมื่อผู้เสียหายทั้งสามกับจำเลยยังคงโต้เถียงความเป็นเจ้าของกันเช่นนี้ กรณีจึงเป็นเรื่องทางแพ่ง ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำโดยมีเจตนาบุกรุก การกระทำของจำเลยจึงไม่มีความผิดฐานบุกรุก

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 362, 365 (2) (3)
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษากลับเป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365 (2) (3) ประกอบมาตรา 362 จำคุก 6 เดือน และปรับ 9,000 บาท คำให้การชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสามคงจำคุก 4 เดือน และปรับ 6,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 หากไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า การกระทำของจำเลยมีความผิดฐานบุกรุกหรือไม่ เห็นว่า ที่จะเป็นความผิดฐานบุกรุกจำเลยจะต้องกระทำโดยมีเจตนาบุกรุกด้วย กล่าวคือ จำเลยจะต้องรู้ว่าที่ดินที่หาว่าจำเลยบุกรุกนั้นเป็นของผู้เสียหายทั้งสาม แต่คดีนี้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการครอบครองที่ดินหรือความเป็นเจ้าของที่ดินที่หาว่าจำเลยบุกรุก โจทก์และจำเลยยังนำสืบโต้แย้งกันอยู่ โดยโจทก์นำสืบว่าที่ดินเป็นของผู้เสียหายทั้งสาม ผู้เสียหายทั้งสามครอบครองที่ดินตลอดมาตั้งแต่ปี 2525 ส่วนจำเลยนำสืบว่าที่ดินเป็นของจำเลย จำเลยซื้อมาจากนายชวลิตย์ ตั้งแต่ปี 2537 แล้วจำเลยครอบครองตลอดมา ฝ่ายผู้เสียหายมิได้ครอบครองแต่อย่างใด ที่ดินไม่ใช่เป็นของผู้เสียหายทั้งสาม แม้ทางราชการออกโฉนดที่ดินให้แก่ผู้เสียหายทั้งสาม จำเลยก็นำสืบอยู่ว่าโฉนดที่ดินออกมาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายซึ่งจำเลยไม่รู้มาก่อนและไม่ยอมรับว่าที่ดินเป็นของผู้เสียหายทั้งสาม พิจารณาตลอดแล้วข้อนำสืบของจำเลยมิใช่เป็นการนำสืบลอยๆ แต่คดีมีเหตุผลให้จำเลยนำสืบเช่นนั้นได้ เมื่อผู้เสียหายทั้งสามกับจำเลยยังคงโต้เถียงความเป็นเจ้าของกันเช่นนี้ กรณีจึงเป็นเรื่องทางแพ่ง ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำโดยมีเจตนาบุกรุกดังที่จำเลยฎีกา การกระทำของจำเลยจึงไม่มีความผิดฐานบุกรุก ฎีกาประการอื่นของจำเลยนอกจากนี้ เช่น โฉนดที่ดินออกมาโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ไม่จำต้องวินิจฉัย เพราะไม่ทำให้ผลคดีนี้เปลี่ยนแปลงไป ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 เห็นว่าจำเลยมีความผิดฐานบุกรุกและพิพากษาลงโทษจำเลยมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์

Share