คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7242/2553

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในข้อหาความผิดซึ่งมิใช่เป็นคดีอัตราโทษอย่างต่ำจำคุกตั้งแต่ห้าปีขึ้นไป หรือโทษที่สถานหนักกว่านั้น เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องโจทก์ ศาลชั้นต้นย่อมพิพากษาโดยไม่สืบพยานหลักฐานต่อไปได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 176 วรรคหนึ่ง และข้อเท็จจริงย่อมฟังเป็นยุติได้ดังที่โจทก์กล่าวอ้างในฟ้อง ฎีกาของจำเลยเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่นนอกจากที่จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นการยกข้อเท็จจริงขึ้นมาใหม่ ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่ไม่ได้ว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
จำเลยถูกศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด แม้ผู้เสียหายทั้งสองมิได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ซึ่งทำให้ผู้เสียหายทั้งสองขอชำระหนี้รายนี้ได้อีกก็มิได้หมายความว่าผู้เสียหายทั้งสองได้รับชำระหนี้แล้ว ยังไม่อาจถือได้ว่าหนี้ตามเช็คได้ระงับและสิ้นผลผูกพัน จึงหาได้ทำให้ความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คเป็นอันเลิกกัน ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯ มาตรา 7

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 มาตรา 4 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 มาตรา 4 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 จำคุกกระทงละ 1 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กระทงละกึ่งหนึ่ง คงจำคุกกระทงละ 15 วัน รวม 2 กระทง เป็นจำคุก 30 วัน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาว่าการกระทำของจำเลยเป็นเพียงความผิดกรรมเดียว เนื่องจากโจทก์ฟ้องว่าจำเลยออกเช็คจำนวน 2 ฉบับ ซึ่งเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกัน แต่โจทก์กล่าวอ้างในฟ้องว่าเช็คฉบับที่ 2 เลขที่ 6062224 ลงวันที่ 31 ตุลาคม 2547 สั่งจ่ายเงินจำนวน 242,038.36 บาท เพื่อชำระหนี้ตามสัญญาแปลงหนี้และกู้ยืมเงินอันเป็นหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย แต่ในทางพิจารณาตามสำเนาสัญญาแปลงหนี้และกู้ยืมเงินแนบท้ายอุทธรณ์ เอกสารหน้าที่ 5 ข้อที่ 8.24 ระบุว่า เช็คเลขที่ 6062224 ลงวันที่ 31 ตุลาคม 2547 จำนวนเงิน 240,000 บาท ซึ่งแตกต่างกับข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้อง อันเป็นข้อสาระสำคัญตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 และเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยตามมาตรา 195 วรรคสอง แม้จำเลยจะไม่ได้ยกขึ้นกล่าวอ้างในศาลชั้นต้นก็ตาม ศาลชอบที่จะวินิจฉัยในทางที่เป็นคุณแก่จำเลยเพราะข้อเท็จจริงบางข้อที่แตกต่างดังกล่าวในฟ้องไม่ใช่เป็นเรื่องที่โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยในข้อเท็จจริงนั้น การกระทำของจำเลยจึงเป็นเพียงความผิดกรรมเดียวเท่านั้น เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในข้อหาความผิดซึ่งมิใช่เป็นคดีที่มีอัตราโทษอย่างต่ำจำคุกตั้งแต่ห้าปีขึ้นไป หรือโทษสถานที่หนักกว่านั้น เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องของโจทก์ ศาลชั้นต้นย่อมพิพากษาโดยไม่สืบพยานหลักฐานต่อไปได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 176 วรรคหนึ่ง และข้อเท็จจริงย่อมรับฟังเป็นยุติได้ดังที่โจทก์กล่าวอ้างในฟ้อง ฎีกาในข้อนี้ของจำเลยจึงเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่นนอกจากที่จำเลยให้การรับสารภาพ และเป็นการยกข้อเท็จจริงขึ้นมาใหม่ ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่มิได้ว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 7 ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
อนึ่ง ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยถูกศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด แต่ผู้เสียหายทั้งสองมิได้ยื่นขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เป็นการ มิชอบด้วยกฎหมายนั้น เห็นว่า การที่ผู้เสียหายทั้งสองมิได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้มิได้หมายความว่าผู้เสียหายทั้งสองได้รับชำระหนี้แล้ว ยังไม่อาจถือได้ว่าหนี้ตามเช็คได้ระงับและสิ้นผลผูกพัน จึงหาได้ทำให้ความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คเป็นอันเลิกกันตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค มาตรา 7 ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น…
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นกักขังจำเลยแทนมีกำหนด 1 เดือน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 23 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7

Share