คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2219/2553

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาว่า โจทก์ทำสัญญาซื้อขายบ้านกับ ป. โจทก์จึงเป็นเจ้าของบ้าน และการบอกเลิกการเช่าเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งเป็นประเด็นพิพาทกัน จำเลยไม่อุทธรณ์โต้เถียงในประเด็นดังกล่าว ข้อเท็จจริงจึงรับฟังยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยยกประเด็นดังกล่าวขึ้นมาฎีกาเป็นการกล่าวอ้างข้อเท็จจริงที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในชั้นอุทธรณ์ ต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง
โจทก์ฟ้องว่านับแต่จำเลยเช่าบ้านจากโจทก์ จำเลยชำระค่าเช่าแก่โจทก์เดือนละ 16,000 บาท ตามที่กำหนดไว้ในสัญญาเช่ามาตลอด และนับแต่เดือนมีนาคม 2540 เป็นต้นมา จำเลยก็ไม่ชำระค่าเช่าแก่โจทก์อีกจนกระทั่งถึงวันฟ้อง ซึ่งในข้อนี้จำเลยให้การและนำสืบว่า จำเลยชำระค่าเช่าแก่โจทก์มาตลอดจนกระทั่งถูกโจทก์ฟ้องจำเลยจึงไม่ชำระแก่โจทก์ ขณะเดียวกันจำเลยได้ให้การต่อสู้ด้วยว่าหากฟังว่าจำเลยไม่ชำระค่าเช่า เมื่อนับระยะเวลาตั้งแต่เดือนมีนาคม 2540 ที่จำเลยผิดนัดถึงวันฟ้อง คดีของโจทก์ก็ขาดอายุความแล้ว คำให้การดังกล่าวจึงขัดแย้งกันเท่ากับมิได้ปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 177 วรรคสอง จำเลยจึงไม่มีสิทธิสืบพยานตามที่ให้การต่อสู้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า จำเลยเช่าที่ดินพร้อมบ้านไปจากโจทก์ ต่อมาจำเลยไม่ชำระค่าเช่า โจทก์ได้บอกเลิกสัญญาและให้ชำระค่าเช่าแล้วแต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่เช่าโดยส่งมอบคืนโจทก์ในสภาพเรียบร้อยและให้ชำระค่าเช่าที่ค้างชำระ 704,000 บาท และค่าเสียหายอีกเดือนละ 16,000 บาท แก่โจทก์ นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่เช่าพร้อมทั้งส่งมอบที่ดินและสิ่งปลูกสร้างคืนโจทก์ในสภาพเรียบร้อย
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การว่า การโอนขายที่ดินของโจทก์เป็นการโอนเพื่อค้ำประกันการชำระหนี้ของจำเลยกับพวก มิได้มีเจตนาซื้อขายที่แท้จริง จำเลยจำยอมทำสัญญาเช่ามิฉะนั้นโจทก์จะขับไล่จำเลยกับพวก สัญญาเช่าจึงเกิดจากการฉ้อฉล จำเลยไม่เคยผิดชำระหนี้ หากสัญญาดังกล่าวเป็นสัญญาที่ชอบด้วยกฎหมาย และเมื่อเช่าครบกำหนดแล้วจำเลยครอบครองทรัพย์เรื่อยมาและโจทก์มิได้ทักท้วง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน 112,000 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงิน 880,000 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า เมื่อ 20 ธันวาคม 2526 โจทก์ทำสัญญาซื้อขายที่ดินและบ้านพิพาทเลขที่ 927/4 ถนนบางนาตราด แขวงบางนา เขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร จากนางป้อมเพชร พี่สะใภ้ของจำเลย ต่อมาวันที่ 20 ธันวาคม 2537 โจทก์ทำสัญญาเช่าบ้านพิพาทให้จำเลยกำหนดเวลาเช่า 3 ปี เดือนตุลาคม 2543 โจทก์ขอเลิกสัญญาเช่ากับจำเลยและเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2544 จำเลยขนย้ายทรัพย์สินออกจากบ้านพิพาท
ที่จำเลยฎีกาโต้เถียงว่า โจทก์และนางป้อมเพชรไม่มีเจตนาซื้อขายบ้านพิพาท การซื้อขายเป็นนิติกรรมอำพราง และโจทก์บอกเลิกการเช่าไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เห็นว่า เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาโดยวินิจฉัยว่าโจทก์ทำสัญญาซื้อขายบ้านพิพาทกับนางป้อมเพชร โจทก์จึงเป็นเจ้าของบ้านพิพาทและการบอกเลิกการเช่าเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งเป็นประเด็นพิพาทกัน จำเลยไม่อุทธรณ์โต้เถียงในประเด็นดังกล่าว ข้อเท็จจริงจึงรับฟังยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ฎีกาของจำเลยในประเด็นดังกล่าวเป็นการกล่าวอ้างข้อเท็จจริงที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในชั้นอุทธรณ์ ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คงมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยค้างชำระค่าเช่าบ้านพิพาทหรือไม่เพียงใด เห็นว่า โจทก์ฟ้องว่านับแต่จำเลยเช่าบ้านพิพาทจากโจทก์ จำเลยชำระค่าเช่าแก่โจทก์เดือนละ 16,000 บาท ตามที่กำหนดไว้ในสัญญาเช่ามาตลอดและนับแต่เดือนมีนาคม 2540 เป็นต้นมาจำเลยก็ไม่ชำระค่าเช่าแก่โจทก์อีกจนกระทั่งถึงวันฟ้อง ซึ่งในข้อนี้จำเลยให้การและนำสืบว่า จำเลยชำระค่าเช่าแก่โจทก์มาตลอดจนกระทั่งถูกโจทก์ฟ้องจำเลยจึงไม่ชำระแก่โจทก์ ขณะเดียวกันจำเลยได้ให้การต่อสู้ด้วยว่าหากฟังว่าจำเลยไม่ชำระค่าเช่า เมื่อนับระยะเวลาตั้งแต่เดือนมีนาคม 2540 ที่จำเลยผิดนัดถึงวันฟ้องคดีของโจทก์ก็ขาดอายุความแล้ว คำให้การดังกล่าวจึงขัดแย้งกัน เท่ากับมิได้ปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง จำเลยจึงไม่มีสิทธิสืบพยานตามที่ให้การต่อสู้ อย่างไรก็ตามข้อนี้โจทก์มีนายชวน เป็นพยานเบิกความว่า จำเลยได้เริ่มผิดนัดชำระค่าเช่ามาตั้งแต่เดือนมีนาคม 2540 และมิได้ชำระให้โจทก์อีกเลย ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์นับแต่วันที่จำเลยผิดนัดชำระค่าเช่าจนถึงวันที่จำเลยขนย้ายทรัพย์สินออกจากบ้านพิพาทจึงชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 3,000 บาท แทนโจทก์

Share