คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 612/2553

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

พ.ร.บ.การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยฯ มาตรา 30 มีเจตนารมณ์เช่นเดียวกับ พ.ร.บ.ว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ฯ มาตรา 21 วรรคหนึ่ง ที่มุ่งประสงค์ที่จะให้มีการจ่ายเงินค่าทดแทนให้เป็นธรรมแก่เจ้าของหรือผู้ครอบครองทรัพย์หรือผู้ทรงสิทธิอื่น แต่มาตรา 30 แห่ง พ.ร.บ.การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยฯ มิได้บัญญัติถึงรายละเอียดของหลักเกณฑ์ที่จะนำมาใช้คำนึงในการกำหนดและจ่ายค่าทดแทนอย่างเป็นธรรมไว้ดังเช่น พ.ร.บ.ว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ฯ มาตรา 21 วรรคหนึ่ง (1) ถึง (5) ดังนั้น การกำหนดเงินค่าทดแทนการใช้ที่ดินตาม พ.ร.บ.การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยฯ มาตรา 30 อย่างเป็นธรรม จึงต้องคำนึงถึงหลักเกณฑ์เช่นเดียวกับที่บัญญัติไว้ใน พ.ร.บ.ว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ฯ มาตรา 21 วรรคหนึ่ง (1) ถึง (5)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินค่าทดแทนเพิ่ม 24,384,961 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดของดอกเบี้ยเงินฝากประเภทฝากประจำของธนาคารออมสิน นับแต่วันที่ต้องมีการจ่ายหรือฝากเงินค่าทดแทนนั้นให้แก่โจทก์
จำเลยให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาคณะคดีปกครองวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติได้ว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3) เลขที่ 12 ตำบลกรับใหญ่ อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี เนื้อที่ 5 ไร่ 3 งาน 36 ตารางวา เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2537 มีประกาศการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย เรื่อง กำหนดเขตสำรวจสายส่งไฟฟ้า ขนาด 500 กิโลวัตต์ จากสถานีไฟฟ้าย่อยราชบุรี 3 ไปยังสถานไฟฟ้าย่อยไทรน้อยจังหวัดนนทบุรีในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งแนวเขตสายไฟฟ้าดังกล่าวผ่านที่ดินของโจทก์คิดเป็นเนื้อที่ 2 ไร่ 1 งาน 33 ตารางวา ต่อมาวันที่ 21 มีนาคม 2539 ผู้ว่าราชการจังหวัดราชบุรีได้ดำเนินการสนับสนุนการดำเนินงานของจำเลยโดยออกคำสั่งจังหวัดราชบุรีที่ 714/2539 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการกำหนดค่าทดแทนทรัพย์สินจังหวัดราชบุรี เพื่อทำหน้าที่กำหนดค่าทดแทนทรัพย์สินให้แก่ราษฎรที่ถูกเขตเดินสายส่งไฟฟ้าขนาด 500 กิโลวัตต์ จอมบึง – ไทรน้อย ตามสำเนาคำสั่งจังหวัดราชบุรี คณะกรรมการกำหนดค่าทดแทนฯ ได้นำราคาประเมินที่ดินตามบัญชีกำหนดจำนวนทุนทรัพย์ ในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับที่ดินของสำนักงานที่ดินจังหวัดราชบุรีที่ใช้ในปี 2539 ถึงปี 2542 มาปรับเพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 50 ของทุกหน่วยราคาเป็นหลักเกณฑ์ในการกำหนดราคาที่ดิน แต่เนื่องจากมิได้มีการโอนกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในที่ดินส่วนที่ถูกเขตเดินสายส่งไฟฟ้าแรงสูงพาดผ่านจึงไม่ได้จ่ายเงินค่าทดแทนการใช้ที่ดินเต็มตามราคาที่กำหนด แต่จ่ายในอัตราที่ลดหลั่นกันไปตามประเภทของที่ดินและสภาพการใช้ที่ดินนั้น กล่าวคือที่ดินที่ตั้งเสาไฟฟ้าจ่ายในอัตราร้อยละ 100 ที่บ้านจ่ายในอัตราร้อยละ 90 ที่สวนจ่ายในอัตราร้อยละ 70 ที่นาจ่ายในอัตราร้อยละ 50 สำหรับที่ดินของโจทก์มีราคาประเมินตามบัญชีกำหนดจำนวนทุนทรัพย์ฯ ตารางวาละ 2,500 บาท ปรับขึ้นร้อยละ 50 เป็นตารางวาละ 3,750 บาท และจัดให้อยู่ในประเภทที่บ้านจึงกำหนดเงินค่าทดแทนการใช้ที่ดินให้แก่โจทก์ในอัตราร้อยละ 90 ของราคาที่กำหนดตารางวาละ 3,750 บาท เป็นตารางวาละ 3,375 บาท เนื้อที่ 2 ไร่ 1 งาน 33 ตารางวา เป็นเงิน 3,148,875 บาท เงินค่าทดแทนโรงเลี้ยงสุกร 2,081,164 บาท เงินค่าทดแทนต้นไม้ 61,500 บาท รวมเป็นเงิน 5,291,539 บาท แต่โจทก์ไม่ยอมรับเงินค่าทดแทนดังกล่าว จำเลยจึงนำเงินค่าทดแทนดังกล่าวไปฝากธนาคารออมสิน สาขาบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี ตามสำเนาบัญชีเงินฝาก
พิเคราะห์แล้ว มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ข้อแรกว่า โจทก์ควรได้รับเงินค่าทดแทนการใช้ที่ดินเพิ่มขึ้นจากที่จำเลยกำหนดให้หรือไม่เพียงใด โจทก์ฎีกาว่า ที่ดินของโจทก์อยู่ในเขตเทศบาล ใกล้โรงเรียนและมีประชากรหน่าแน่นพอสมควรมีราคาไร่ละ 2,000,000 บาท หรือตารางวาละ 5,000 บาท นั้น เห็นว่า พระราชบัญญัติการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย พ.ศ.2511 มาตรา 30 มีเจตนารมณ์เช่นเดียวกับพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ.2530 มาตรา 21 วรรคหนึ่ง ที่มุ่งประสงค์ที่จะให้มีการจ่ายเงินค่าทดแทนให้เป็นธรรมแก่เจ้าของหรือผู้ครอบครองทรัพย์หรือผู้ทรงสิทธิอื่น แต่มาตรา 30 แห่งพระราชบัญญัติการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย พ.ศ.2511 มิได้บัญญัติถึงรายละเอียดของหลักเกณฑ์ที่จะนำมาใช้คำนึงในการกำหนดและจ่ายเงินค่าทดแทนอย่างเป็นธรรมไว้ดังเช่นพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ.2530 มาตรา 21 วรรคหนึ่ง (1) ถึง (5) ดังนั้น การกำหนดเงินค่าทดแทนการใช้ที่ดินตามพระราชบัญญัติการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย พ.ศ.2511 มาตรา 30 อย่างเป็นธรรมจึงต้องคำนึงถึงหลักเกณฑ์เช่นเดียวกับที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ.2530 มาตรา 21 วรรคหนึ่ง (1) ถึง (5) กล่าวคือ กรณีการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์วันอันเป็นฐานที่ตั้งในการพิจารณาราคาของอสังหาริมทรัพย์และสภาพและที่ตั้งของอสังหาริมทรัพย์ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ.2530 มาตรา 21 วรรคหนึ่ง (1) ถึง (4) คือวันที่ใช้บังคับพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนอันเป็นวันเริ่มต้นของการกำหนดแนวเขตที่ดินที่จะเวนคืนมีผลใช้บังคับ เมื่อเทียบกับคดีนี้วันอันเป็นฐานที่ตั้งในการพิจารณาราคาของอสังหาริมทรัพย์และสภาพและที่ตั้งของอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ในแนวเขตเดินสายส่งไฟฟ้าแรงสูง คือวันที่ประกาศกำหนดเขตสำรวจทั่วไปเพื่อเลือกแนวหรือที่ตั้งระบบไฟฟ้าในราชกิจจานุเบิกษา ตามมาตรา 28 (2) (ข) แห่งพระราชบัญญัติการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย พ.ศ.2511 ที่จำเลยได้ประกาศเรื่อง กำหนดเขตสำรวจสายส่งไฟฟ้าขนาด 500 กิโลวัตต์ จากสถานีไฟฟ้าย่อยราชบุรี 3 ไปยังสถานีไฟฟ้าย่อยไทรน้อยจังหวัดนนทบุรีในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2537 ดังนั้น วันที่จะพิจารณาถึงราคาของอสังหาริมทรัพย์และสภาพและที่ตั้งของที่ดินของโจทก์ที่อยู่ในแนวเขตสำรวจสายส่งไฟฟ้าคือวันที่ 8 พฤศจิกายน 2537 แต่ในปัญหานี้โจทก์คงมีตัวโจทก์และหลานโจทก์คือนายประสูตร นายประสงค์ และนายประวิง เป็นพยานเบิกความลอยๆ ว่า ที่ดินของโจทก์มีราคาซื้อขายไร่ละ 2,000,000 บาท หรือตารางวาละ 5,000 บาท โดยไม่มีพยานหลักฐานอื่นมาสืบสนับสนุนให้รับฟังได้ดังที่โจทก์กล่าวอ้าง ส่วนที่โจทก์อ้างว่าโจทก์ซื้อที่ดินใกล้เคียงกับที่ดินของโจทก์ในราคาไร่ละ 1,900,000 บาท ตามสำเนาสัญญาวางมัดจำซื้อขายที่ดินเอกสารท้ายอุทธรณ์หมายเลข 5 นั้น ก็เป็นการซื้อขายกันหลังจากมีการประกาศเขตสำรวจสายส่งไฟฟ้าฯ ในราชกิจจานุเบกษาแล้ว จึงไม่อาจนำมาเป็นเกณฑ์ในการกำหนดเงินค่าทดแทนการใช้ที่ดินของโจทก์ได้เลยทีเดียว พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบจึงไม่อาจแสดงให้เห็นได้ว่าในวันที่ 8 พฤศจิกายน 2537 ที่ดินของโจทก์มีราคาที่ซื้อขายกันตามปกติในท้องตลาดไร่ละ 2,000,000 บาท หรือตารางวาละ 5,000 บาท และเนื่องจากการเดินสายไฟฟ้าแรงสูงของจำเลยพาดผ่านที่ดินของโจทก์ดังกล่าวเป็นเพียงการขอใช้ที่ดินโดยมิได้มีการโอนกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในที่ดินส่วนที่อยู่ในแนวเขตสายส่งไฟฟ้าแรงสูงให้แก่จำเลย ที่ดินดังกล่าวยังเป็นของโจทก์อยู่ ศาลฎีกาจึงเห็นด้วยกับจำเลยที่กำหนดอัตราสั่งจ่ายเงินค่าทดแทนการใช้ที่ดินตามประเภทที่ดินว่าที่ดินที่เป็นที่ตั้งเสาไฟฟ้าจ่ายให้ร้อยละ 100 ที่บ้านจ่ายให้ร้อยละ 90 ที่สวนจ่ายให้ร้อยละ 70 ที่นาจ่ายให้ร้อยละ 50 ดังนั้น ที่จำเลยกำหนดให้ที่ดินของโจทก์มีราคาไร่ละ 1,500,000 บาท หรือตารางวาละ 3,750 บาท เป็นฐานในการพิจารณากำหนดเงินค่าทดแทนการใช้ที่ดินของโจทก์ โดยจ่ายเงินค่าทดแทนการใช้ที่ดินของโจทก์ในประเภทที่บ้านร้อยละ 90 ของไร่ละ 1,500,000 บาท หรือตารางวาละ 3,750 บาท นั้น เป็นธรรมแก่โจทก์และสังคมแล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะได้รับเงินค่าทดแทนการใช้ที่ดินเพิ่มขึ้นอีก ฎีกาข้อนี้ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น…”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share