คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6356/2552

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่ายึดไฟแช็กแก๊สได้ในที่เกิดเหตุไฟแช็กแก๊สจึงไม่ใช่ของกลางที่โจทก์บรรยายมาในฟ้องและมีคำขอให้ศาลวินิจฉัยตาม ป.วิ.อ. มาตรา 186 (9) การที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้คืนไฟแช็กแก๊สแก่เจ้าของเป็นการพิพากษานอกเหนือไปจากคำฟ้องอันเป็นการไม่ชอบ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2545 เวลากลางคืนก่อนเที่ยง จำเลยทั้งสองร่วมกันมีอาวุธปืนลูกซองยาวเดี่ยวไม่มีเครื่องหมายทะเบียน 1 กระบอก และกระสุนปืนขนาด 12 ไม่ทราบ จำนวนนัด อันเป็นอาวุธปืนและกระสุนปืนที่ใช้ยิงได้ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำเลยทั้งสองร่วมกันพาอาวุธปืนดังกล่าวติดตัวไปในหมู่บ้านและทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและไม่ใช่กรณีมีเหตุจำเป็นเร่งด่วนตามสมควรแก่พฤติการณ์ จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้อาวุธปืนดังกล่าวยิงนายโพธิ์บุพการีของจำเลยที่ 2 โดยเจตนาฆ่าและไตร่ตรองไว้ก่อน เป็นเหตุให้นายโพธิ์ถึงแก่ความตาย เจ้าพนักงานตำรวจยึดอาวุธปืนลูกซองยาว 1 กระบอกกระสุนปืนขนาด 12 จำนวน 4 นัด ปลอกกระสุนปืน 1 ปลอก ไฟฉาย 1 อัน ซึ่งจำเลยทั้งสองร่วมกันใช้กระทำผิดเป็นของกลาง ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 288, 289, 371, 73, 32, 33 และริบของกลาง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 วรรคหนึ่ง, 72 ทวิ วรรคสอง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 (4), 371 ประกอบมาตรา 83 จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (1) การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่น ลงโทษประหารชีวิต ฐานร่วมกันมีอาวุธปืน จำคุกคนละ 1 ปี ฐานร่วมกันพาอาวุธปืน (ที่ถูก เป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท) ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกคนละ 6 เดือน จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพชั้นจับกุมเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ลดโทษให้คนละหนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 52 (1) ฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่น จำคุกจำเลยทั้งสองตลอดชีวิต ฐานร่วมกันมีอาวุธปืนไว้ในครอบครอง จำคุกคนละ 8 เดือน ฐานร่วมกันพาอาวุธปืน จำคุกคนละ 4 เดือน รวมโทษทุกกระทงแล้ว คงจำคุกจำเลยทั้งสองตลอดชีวิต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (3) ริบอาวุธปืน กระสุนปืน และปลอกกระสุนปืนของกลาง คืนไฟฉายแบตเตอรี่และไฟแช็กแก๊สของกลางแก่เจ้าของ
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า ตามวันเวลาและสถานที่ที่โจทก์ฟ้องมีคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายถึงแก่ความตาย รายละเอียดเกี่ยวกับบาดแผลและสาเหตุการตายปรากฏตามรายงานการชันสูตรพลิกศพท้ายฟ้อง คงมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองในข้อแรกว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้อาวุธปืนของกลางยิงผู้ตายด้วยเจตนาฆ่าและโดยไตร่ตรองไว้ก่อนหรือไม่ เห็นว่า โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานที่รู้เห็นเหตุการณ์ในขณะผู้ตายถูกคนร้ายใช้อาวุธปืนยิง โจทก์คงมีนางระเบียบเป็นพยานเบิกความว่า ในคืนเกิดเหตุเวลาประมาณเที่ยงคืนพยานออกจากบ้านไปกรีดยางที่สวนยางพารา ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านพักของพยานประมาณ 10 กิโลเมตร ส่วนผู้ตายออกไปกรีดยางที่สวนยางพาราอีกแห่งหนึ่งห่างจากสวนยางพาราที่พยานกรีดยางประมาณ 2 กิโลเมตร ครั้งเวลาประมาณ 2 นาฬิกา มีเสียงปืนดังขึ้น 2 นัด จากสวนยางพาราที่ผู้ตายไปกรีดยาง แต่พยานไม่นึกเฉลียวใจว่าจะเกิดเหตุร้ายคงกรีดยางต่อไปจนถึงเวลา 6 นาฬิกา จึงไปที่สวนยางพาราที่ผู้ตายไปกรีดยาง แต่ไม่พบผู้ตายคงพบแต่รถจักรยานยนต์ของผู้ตายจอดอยู่ในสวนยางพาราพยานจึงกลับไปที่บ้านแต่ปรากฏว่าผู้ตายยังไม่กลับจากกรีดยางพยานจึงชวนนางจรรยาซึ่งเป็นน้องสาวของผู้ตายออกตามหาผู้ตายในที่สุดพบศพของผู้ตายอยู่ในสวนยางพาราที่ผู้ตายไปกรีดยาง สภาพศพมีบาดแผลถูกยิงด้วยอาวุธปืนที่หน้าอกด้านขวา แต่พยานและนางจรรยาต่างไม่ทราบว่าใครเป็นคนร้าย ส่วนสาเหตุที่เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยทั้งสองไปดำเนินคดี ก็ได้ความจากดาบตำรวจประไพว่าหลังจากเกิดเหตุพยานได้สอบถามนางจันทนีย์ ซึ่งเป็นน้องสาวของผู้ตายว่าสงสัยว่าใครเป็นคนร้าย นางจันทนีย์ตอบว่า ก่อนเกิดเหตุ 2 ถึง 3 วัน ผู้ตายเคยปรารถให้ฟังว่า หากผู้ตายถึงแก่ความตายก็ไม่ใช่ใครทำนอกเสียจากจำเลยที่ 2 เพราะผู้ตายกับจำเลยที่ 2 มีเรื่องทะเลาะกันเป็นประจำก่อนเกิดเหตุประมาณ 2 เดือน จำเลยที่ 2 เคยไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจว่าถูกผู้ตายทำร้ายร่างกาย หลังจากนั้นประมาณ 1 เดือน ผู้ตายไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจบ้างว่าถูกจำเลยที่ 2 ทำร้ายร่างกาย เมื่อพยานสอบถามนางระเบียบถึงจำเลยที่ 2 ก็ได้ความว่าจำเลยที่ 2 ไปพักอาศัยอยู่ที่บ้านของจำเลยที่ 1 พยานจึงรายงานให้พันตำรวจโทบุญธรรมทราบว่าจำเลยทั้งสองน่าจะเป็นคนร้าย ส่วนพยานเดินทางไปที่บ้านของจำเลยที่ 1 ก็พบจำเลยทั้งสอง พยานสอบถามเรื่องราวจากจำเลยทั้งสอง แต่จำเลยทั้งสองให้การสับสน พยานจึงพาจำเลยทั้งสองไปสอบถามเรื่องราวที่สถานีตำรวจ จำเลยทั้งสองต่างรับสารภาพว่าร่วมกันใช้อาวุธปืนลูกซองยาวยิงผู้ตายจริง ทั้งยังรับด้วยว่าหลังจากยิงผู้ตายแล้ว จำเลยที่ 1 ได้ถอนอาวุธปืนลูกซองยาวออกเป็นชิ้นส่วนแล้วนำไปซุกซ่อนไว้ข้างจอมปลวกหลังบ้านของจำเลยที่ 1 พยานจึงรายงานให้พันตำรวจโทบุญธรรมทราบแล้วพากันไปที่หลังบ้านของจำเลยที่ 1 เมื่อตรวจค้นก็พบอาวุธปืนลูกซองยาวซึ่งห่อด้วยถุงพลาสติกกับกระสุนปืนลูกซองยาวและปลอกกระสุนปืนลูกซองซุกซ่อนอยู่จริง เห็นว่า แม้ข้อเท็จจริงจะได้ความว่าผู้ตายกับจำเลยที่ 2 เคยมีเรื่องขัดแย้งกันมาก่อนเกี่ยวกับความเป็นอยู่ในครอบครัว แต่ไม่ปรากฏว่าเป็นเรื่องรุนแรงถึงขนาดที่จำเลยที่ 2 จะคิดฆ่าผู้ตาย ส่วนจำเลยที่ 1 กับผู้ตายไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อน คงได้ความว่าจำเลยที่ 1 เป็นเพื่อนสนิทของจำเลยที่ 2 เท่านั้น ทั้งโจทก์ไม่มีพยานปากใดรู้เห็นเหตุการณ์ในขณะเกิดเหตุ เหตุที่จับกุมจำเลยทั้งสองมาดำเนินคดีคงอาศัยแต่ความขัดแย้งระหว่างจำเลยที่ 2 กับผู้ตายเป็นสำคัญ ซึ่งไม่มีน้ำหนักพอให้รับฟังว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันฆ่าผู้ตายเพราะสาเหตุดังกล่าวได้ ส่วนที่โจทก์นำสืบว่าในชั้นจับกุมจำเลยทั้งสองรับสารภาพต่อดาบตำรวจประไพว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันฆ่าผู้ตาย ก็เป็นเพียงพยานบอกเล่าและจำเลยทั้งสองยังมีข้อต่อสู้อยู่พยานหลักฐานของโจทก์ไม่มีน้ำหนักและเหตุผลเพียงพอที่จะฟังว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันฆ่าผู้ตายตามที่โจทก์ฟ้อง
ส่วนที่โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันมีอาวุธปืนลูกซองยาวไม่มีหมายเลขทะเบียนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและพาอาวุธปืนดังกล่าวติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตนั้น เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 ใช้อาวุธปืนกระบอกดังกล่าวยิงผู้ตายด้วยเจตนาฆ่าและโดยไตร่ตรองไว้ก่อน จำเลยที่ 2 จึงไม่มีความผิดฐานนี้ แต่สำหรับจำเลยที่ 1 นั้นนอกจากจำเลยที่ 1 จะรับสารภาพในชั้นจับกุมว่านำอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนของกลางไปซุกซ่อนไว้ที่ข้างจอมปลวกหลังบ้านของจำเลยที่ 1 แล้ว จำเลยที่ 1 ยังพาเจ้าพนักงานตำรวจไปตรวจยึดอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนดังกล่าวที่ซุกซ่อนไว้ที่หลังบ้านของจำเลยที่ 1 ด้วย เมื่อข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าดาบตำรวจประไพใช้อำนาจครอบงำ ข่มขืนใจ หรือให้คำมั่นสัญญาให้จำเลยที่ 1 พาไปค้นหาอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนของกลางโดยมิชอบด้วยกฎหมาย จึงต้องรับฟังว่าจำเลยที่ 1 พาเจ้าพนักงานตำรวจไปค้นหาอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนด้วยความสมัครใจ เมื่อพิเคราะห์ว่า จุดที่พบอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนของกลางอยู่ห่างจากบ้านของจำเลยที่ 1 เพียง 10 เมตร ทั้งอาวุธปืนดังกล่าวถูกถอดออกเป็นชิ้นส่วนตรงตามคำรับสารภาพในชั้นจับกุมของจำเลยที่ 1 พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบจึงรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยที่ 1 มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตจริงแต่ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดฐานพาอาวุธปืนของกลางติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เมื่อโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานอื่นนอกจากคำรับในชั้นจับกุมของจำเลยที่ 1 จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานนี้ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองตามที่โจทก์ฟ้อง ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังขึ้นบางส่วน
อนึ่ง คดีนี้โจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่ายึดไฟแช็กแก๊สได้ในที่เกิดเหตุไฟแช็กแก๊สจึงไม่ใช่ของกลางที่โจทก์บรรยายมาในฟ้องและมีคำขอให้ศาลวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 1861 (9) การที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้คืนไฟแช็กแก๊สแก่เจ้าของเป็นการพิพากษานอกเหนือไปจากคำฟ้องอันเป็นการไม่ชอบปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยแม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225”
พิพากษาแก้เป็นว่า ยกฟ้องจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานร่วมกับพวกฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและโดยไตร่ตรองไว้ก่อนและความผิดฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมืองหมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ส่วนความผิดฐานมีอาวุธปืนไม่มีทะเบียนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 1 ปี และปรับ 12,000 บาท จำเลยที่ 1 รับสารภาพในชั้นจับกุม ลดโทษให้หนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 8 เดือน และปรับ 8,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ส่วนจำเลยที่ 2 ให้ยกฟ้อง ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 8 ที่ให้คืนไฟแช็กแก๊สของกลางแก่เจ้าของ นอกจากที่แก้ให้คงเป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8

Share