คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4657/2552

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

คำพิพากษาคดีแพ่งของศาลจังหวัดอุบลราชธานี (เดชอุดม) ซึ่งมีจำเลยที่ 1 ในคดีนี้เป็นโจทก์ฟ้องโจทก์ในคดีนี้เป็นจำเลยที่ 1 และ พ. เป็นจำเลยที่ 2 ขอให้บังคับให้จำเลยทั้งสองในคดีดังกล่าวรับผิดชำระเงินตามเช็คที่โจทก์โดย พ. กรรมการผู้มีอำนาจสั่งจ่ายเช็คชำระค่าเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ส่วนที่ค้างชำระ แต่คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้บังคับให้จำเลยทั้งสองคืนเงินค่าเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ที่โจทก์ได้ชำระไปก่อนแล้วในฐานะลาภมิควรได้ อันเป็นหนี้คนละจำนวนกัน ซึ่งคำพิพากษาดังกล่าวข้างต้นยังมิได้มีการวินิจฉัยชี้ขาด การดำเนินกระบวนพิจารณาคดีนี้จึงไม่เกี่ยวกับคดีหรือประเด็นที่ได้วินิจฉัยชี้ขาดแล้ว จึงไม่เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำตาม ป.วิ.พ. มาตรา 144

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2537 จำเลยทั้งสองได้แจ้งว่า นายรัศมีกรรมการของโจทก์ ซึ่งถึงแก่กรรมไปแล้ว ได้สั่งซื้อรถจักรยานยนต์จากจำเลยทั้งสองและค้างชำระหนี้อยู่เป็นเงิน 6,800,000 บาท ขอให้โจทก์รับผิดชอบ โดยจำเลยทั้งสองยอมให้โจทก์ผ่อนชำระเป็นรายวัน วันละ 2,100 บาท แต่ให้ชำระเดือนละครั้ง โจทก์จึงชำระเงินให้แก่จำเลยทั้งสองตั้งแต่เดือนธันวาคม 2537 จนถึงเดือนพฤศจิกายน 2542 รวมเป็นเงิน 3,320,150 บาท ต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์ 2544 โจทก์ได้ตรวจสอบเอกสารทางบัญชีของโจทก์ เนื่องจากถูกจำเลยทั้งสองฟ้องคดีอาญาและคดีแพ่งเกี่ยวกับเรื่องเช็ค โจทก์จึงพบความจริงว่าโจทก์ได้ชำระเงินดังกล่าวให้แก่จำเลยทั้งสองหมดไปก่อนแล้ว เงินดังกล่าวจึงไม่มีมูลหนี้ที่จะอ้างกฎหมายได้เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จึงขอบังคับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันคืนเงินดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยถึงวันฟ้องจำนวน 2,218,537 บาท รวมเป็นเงินจำนวน 5,538,687 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี จากต้นเงิน 3,320,150 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสองจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 1 ให้การว่า โจทก์เป็นลูกค้าของจำเลยที่ 1 ประเภท ผู้ซื้อรถจักรยานยนต์ในราคาขายส่งเพื่อไปขายปลีกให้แก่ลูกค้า ต่อมาโจทก์ค้างชำระค่าซื้อรถจักรยานยนต์จากจำเลยที่ 1 จำนวน 183 คัน ซึ่งโจทก์สั่งซื้อไประหว่างวันที่ 20 มิถุนายน 2537 ถึงวันที่ 1 พฤศจิกายน 2537 คิดเป็นเงิน 6,852,922 บาท ระหว่างนั้นนายรัศมี กรรมการโจทก์คนเดิมได้ถึงแก่กรรม นางพิมพ์ใจภริยาของนายรัศมีซึ่งเป็นกรรมการอีกคนหนึ่งได้ตกลงชำระหนี้จำนวนดังกล่าวว่าจะขอผ่อนชำระเป็นรายเดือน เดือนละ 63,000 บาท โดยชำระตั้งแต่วันที่ 13 ธันวาคม 2537 ถึงวันที่ 8 เมษายน 2542 รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 3,339,000 บาท ภายหลังโจทก์ไม่ชำระเงินในส่วนที่เหลือให้จำเลยที่ 1 และโจทก์ขอผัดผ่อนเรื่อยมา ต่อมาปลายปี 2542 โจทก์ได้ตกลงชำระหนี้ในส่วนที่เหลือให้จำเลยที่ 1 เพียงงวดเดียวแต่โจทก์ต่อรองขอชำระหนี้ค้างเพียง 3,500,000 บาท จำเลยที่ 1 ยินยอม โจทก์จึงชำระหนี้ด้วยเช็คธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาเดชอุดม ฉบับลงวันที่ 6 พฤศจิกายน 2542 ให้แก่จำเลยที่ 1 แต่ภายหลังเมื่อจำเลยที่ 1 ไปขึ้นเงินธนาคารตามเช็คได้ปฏิเสธการจ่ายเงิน เมื่อติดต่อโจทก์ให้ชำระหนี้ที่ค้าง โจทก์คงเพิกเฉย จำเลยที่ 1 จึงฟ้องโจทก์และนางพิมพ์ใจเป็นจำเลยให้รับผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 เป็นคดีอาญาหมายเลขดำที่ 628/2543 ของศาลแขวงอุบลราชธานี ส่วนทางแพ่งจำเลยที่ 1 ฟ้องโจทก์เป็นจำเลยต่อศาลจังหวัดอุบลราชธานี (เดชอุดม) เป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 272/2543 ต่อมาศาลได้มีคำพิพากษาให้โจทก์ชำระเงินค่ารถจักรยานยนต์ที่ค้างชำระตามเช็คจำนวน 3,500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระให้จำเลยที่ 1 เสร็จสิ้นโจทก์จึงไม่ได้ชำระเงินให้แก่จำเลยที่ 1 เกินมาตามคำฟ้องของโจทก์ส่วนดอกเบี้ยที่โจทก์ขอให้จำเลยที่ 1 รับผิดในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทั้งการที่โจทก์นำคดีมาฟ้อง จำเลยที่ 1 คดีนี้เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาคดีซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 272/2543 ของศาลจังหวัดอุบลราชธานี (เดชอุดม) เนื่องจากในคดีดังกล่าว ศาลได้วินิจฉัยแล้วว่าโจทก์ค้างชำระเงินค่าซื้อรถจักรยานยนต์จำเลยที่ 1 จำนวน 6,852,922 บาท และยังค้างชำระเงินตามเช็คอีก 3,500,000 บาท กรณีจึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำตามกฎหมาย นอกจากนี้ฟ้องโจทก์ในคดีนี้ขาดอายุความแล้วเนื่องจากโจทก์ได้ผ่อนชำระเงินให้แก่จำเลยที่ 1 เป็นรายเดือนโดยชำระเป็นเช็ค และบางส่วนชำระโดยเงินสดจึงอยู่ในวิสัยของพ่อค้าในการตรวจสอบรายรับรายจ่ายของตนโจทก์จึงรู้เรื่องเกินกว่า 1 ปีแล้วภายหลังจึงนำคดีมาฟ้องต่อศาล และโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเนื่องจากไม่เคยทวงถามหรือบอกกล่าวให้จำเลยที่ 1 ส่งเงินคืนตามที่โจทก์ฟ้องมิใช่เป็นการโต้แย้งสิทธิโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2 เป็นเพียงกรรมการบริษัทจำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัว โจทก์ไม่ได้ชำระหนี้เกินและคดีขาดอายุความแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ใช้เงินคืนแก่โจทก์จำนวน 3,320,150 บาท ให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนเท่าทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี โดยกำหนดค่าทนายความให้ 10,000 บาท ให้ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 2 และค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ให้เป็นพับ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์และจำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกาโดยได้รับอุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า โจทก์และจำเลยที่ 1 ค้าขายกันมาตั้งแต่ปี 2520 โดยโจทก์ซื้อรถจักรยานยนต์จากจำเลยที่ 1 มาจำหน่าย เดิมนายรัศมีเป็นกรรมการผู้จัดการโจทก์ ส่วนนางพิมพ์ใจ ภริยาของนายรัศมีเป็นกรรมการของโจทก์ ต่อมาวันที่ 2 พฤศจิกายน 2537 นายรัศมีถึงแก่กรรม นางพิมพ์ใจจึงเป็นกรรมการผู้จัดการโจทก์แทนหลังจากนายรัศมีถึงแก่กรรม จำเลยที่ 2 แจ้งโจทก์ว่า โจทก์ยังคงมีหนี้ค่ารถจักรยานยนต์จำนวน 183 คัน จากนั้นโจทก์และจำเลยที่ 1 ได้ตกลงเกี่ยวกับหนี้ค่ารถจักรยานยนต์ที่ค้างชำระตั้งแต่วันที่ 20 มิถุนายน 2537 ถึงวันที่ 1 พฤศจิกายน 2537 เป็นเงินประมาณ 6,852,922 บาท โจทก์ได้ผ่อนชำระให้แก่จำเลยที่ 1 ไป จนกระทั่งถึงปี 2542 เป็นเงิน 3,320,150 บาท ส่วนเงินที่เหลือจำเลยที่ 1 ตกลงให้โจทก์ชำระอีกเพียงจำนวน 3,500,000 บาท โจทก์ได้สั่งจ่ายเช็คธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ลงวันที่ 6 พฤศจิกายน 2542 เอกสารหมาย ล.1 ให้แก่จำเลยที่ 1 แต่เมื่อเช็คถึงกำหนดชำระธนาคารตามเช็คได้ปฏิเสธการจ่ายเงิน จำเลยที่ 1 จึงฟ้องโจทก์และนางพิมพ์ใจในความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 เป็นคดีอาญาหมายเลขดำที่ 628/2543 ของศาลแขวงอุบลราชธานี เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2543 ตามเอกสารหมาย จ.13 และจำเลยที่ 1 ได้ฟ้องคดีแพ่งเรียกเงินตามเช็คดังกล่าวด้วย
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า คดีของโจทก์พ้นกำหนดระยะเวลาที่มาฟ้องคดีหรือไม่โจทก์มีนางพิมพ์ใจ กรรมการโจทก์เบิกความว่าหลังจากเช็คเอกสารหมาย ล.1 จำนวนเงิน 3,500,000 บาท ถูกธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน จำเลยที่ 1 ฟ้องโจทก์และพยานเป็นจำเลยในความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 ที่ศาลแขวงอุบลราชธานีตามเอกสารหมาย จ.13 และในคดีนั้นจำเลยทั้งสองนำสืบแสดงรายละเอียดมูลหนี้ตามเช็คดังกล่าวตามบัญชีลูกหนี้เอกสารหมาย จ.15 ประมาณเดือนสิงหาคม 2543 ทนายความของโจทก์ได้คัดเอกสารดังกล่าวไปให้พยาน พยานจึงให้นางสาวชฐิลพรพนักงานบัญชีตรวจสอบพบว่าโจทก์ได้ชำระราคารถจักรยานยนต์จำนวน 183 คัน ที่เข้าใจกันว่าค้างชำระอยู่จนครบถ้วนไปแล้วตามบัญชีแสดงรายการจ่ายเงินชำระหนี้เอกสารหมาย จ.16 โดยมีนางสาวชฐิลพรผู้ตรวจสอบและจัดทำเอกสารดังกล่าวเบิกความว่า พยานได้รับมอบเอกสารหมาย จ.15 จากนางพิมพ์ใจมาตรวจสอบเมื่อเดือนตุลาคม 2543 สนับสนุนอยู่ ประกอบกับในอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ได้ระบุว่า ทนายความของโจทก์ได้ยื่นคำร้องต่อศาลแขวงอุบลราชธานีขอถ่ายสำเนาเอกสารในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 628/2543 ตามเอกสารหมาย จ.13 ตามคำร้องลงวันที่ 15 มิถุนายน 2543 ซึ่งเป็นระยะเวลาที่สอดคล้องต่อเนื่องกันกับพยานหลักฐานโจทก์ จึงน่าเชื่อว่านางพิมพ์ใจกรรมการโจทก์ได้รู้ว่า จำเลยที่ 1 นำสืบแสดงข้อเท็จจริงในบัญชีลูกหนี้เอกสารหมาย จ.15 อันเป็นรายละเอียดที่มาแห่งมูลหนี้ตามเช็คเอกสารหมาย จ.1 ในการพิจารณาคดีอาญาหมายเลขดำที่ 628/2543 ตามเอกสารหมาย จ.13 และทนายความของโจทก์ได้ขอคัดสำเนาเอกสารดังกล่าวจากศาลแขวงอุบลราชธานีส่งให้นางพิมพ์ใจเมื่อเดือนสิงหาคม 2543 จากนั้นนางพิมพ์ใจส่งบัญชีลูกหนี้เอกสารหมาย จ.15 ให้นางสาวชฐิลพรพนักงานบัญชีของโจทก์ ตรวจสอบข้อเท็จจริงในเอกสารดังกล่าวเมื่อเดือนตุลาคม 2543 ได้ผลการตรวจสอบว่าข้อเท็จจริงตามบัญชีลูกหนี้เอกสารหมาย จ.15 ถูกต้องตามบัญชีแสดงรายการจ่ายเงินชำระหนี้เอกสารหมาย จ.16 ดังนั้นจึงต้องฟังว่า โจทก์โดยนางพิมพ์ใจกรรมการโจทก์เพิ่งรู้ว่า โจทก์ได้ชำระราคารถจักรยานยนต์ที่เข้าใจกันว่าค้างชำระอยู่ให้แก่จำเลยที่ 1 จนครบถ้วนไปก่อนแล้ว อันเป็นผลให้โจทก์มีสิทธิเรียกเงินที่ชำระให้จำเลยทั้งสองตามฟ้องคดีนี้คืนในฐานลาภมิควรได้ เมื่อเดือนตุลาคม 2543 โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2544 ยังมีพ้นกำหนด 1 ปี นับแต่โจทก์โดยนางพิมพ์ใจกรรมการโจทก์รู้สิทธิเรียกคืนนั้น จึงไม่ต้องห้ามมิให้ฟ้องคดีนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 419 ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น และคดีนี้คู่ความได้สืบพยานจนเสร็จสิ้น แต่โดยที่ยังมีประเด็นข้อพิพาทอื่นที่ศาลชั้นต้นพิพากษาแล้วคู่ความได้ยื่นอุทธรณ์เป็นประเด็นในชั้นอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์ภาค 3 ยังไม่ได้วินิจฉัย เพื่อไม่ให้คดีล่าช้าออกไปอีก ศาฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยไปเสียทีเดียวโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาใหม่
มีปัญหาต้องวินิจฉัยข้อแรกว่า โจทก์นำคดีนี้มาฟ้องเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 296/2544 ของศาลจังหวัดอุบลราชธานี (เดชอุดม) หรือไม่ เห็นว่า ตามคำพิพากษาคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 296/2544 ของศาลจังหวัดอุบลราชธานี (เดชอุดม) เอกสารหมาย ล.5 จำเลยที่ 1 ในคดีนี้เป็นโจทก์ฟ้องโจทก์ในคดีนี้เป็นจำเลยที่ 1 และนางพิมพ์ใจ เป็นจำเลยที่ 2 ขอให้บังคับให้จำเลยทั้งสองในคดีดังกล่าวรับผิดชำระเงินตามเช็คที่โจทก์ โดยนางพิมพ์ใจกรรมการผู้มีอำนาจสั่งจ่ายชำระค่าเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ส่วนที่ค้างชำระ ซึ่งในคดีนี้คือสำเนาเช็คเอกสารหมาย ล.1 แต่คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้บังคับให้จำเลยทั้งสองคืนเงินค่าเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ที่โจทก์ได้ชำระไปก่อนแล้วในฐานลาภมิควรได้ ตามสำเนาเช็คเอกสารหมาย จ.3 จ.11 และ จ.12 อันเป็นหนี้คนละจำนวนกัน ซึ่งคำพิพากษาดังกล่าวข้างต้นยังมิได้มีการวินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นหนี้ตามสำเนาเช็คเอกสารหมาย จ.3 จ.11 และ จ.12 การดำเนินกระบวนพิจารณาคดีนี้จึงไม่เกี่ยวกับคดีหรือประเด็นที่ได้วินิจฉัยชี้ขาดแล้ว จึงไม่เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144 แต่อย่างใด
ปัญหาต่อไปมีว่า จำเลยที่ 1 ต้องคืนเงินจำนวน 3,320,150 บาท พร้อมดอกเบี้ยให้โจทก์หรือไม่ เห็นว่า โจทก์มีนางพิมพ์ใจกรรมการผู้จัดการโจทก์ นายศักดาพนักงานธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) และนางสาวชฐิลพรพนักงานบัญชีของโจทก์ซึ่งเป็นคนตรวจสอบการชำระหนี้ค่าเช่าซื้อรถจักรยานยนต์จำนวน 183 คัน เบิกความประกอบสำเนาบัญชีลูกหนี้เอกสารหมาย จ.15 และสำเนาบัญชีแสดงรายการจ่ายเงินชำระหนี้เอกสารหมาย จ.16 พบว่ามีการชำระค่าเช่าซื้อรถจักรยานยนต์จำนวน 183 คัน ไปแล้ว ตามเช็คจำนวน 35 ฉบับ เอกสารหมาย จ.1 และได้มีการเรียกเก็บเงินไปครบถ้วนแล้ว ตามรายการเคลื่อนไหวทางบัญชีตามสำเนาบัญชีกระแสรายวันปี 2537 และ 2538 เอกสารหมาย จ.2 ส่วนยอดเงินที่ต่างกันจำนวน 137,598 บาท นั้น จากการคำนวณราคาค่าเช่าซื้อรถจักรยานยนต์และจำนวนเงินที่โจทก์สั่งจ่ายเช็คเกินราคาค่าเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ในแต่ละลำดับ ที่ปรากฏในสำเนาบัญชีแสดงรายการจ่ายเงินชำระหนี้เอกสารหมาย จ.16 ตั้งแต่ลำดับที่ 1 ถึงที่ 14 และลำดับที่ 16 ถึงที่ 21 พบว่าจำนวนเงินที่มีผลต่างกันในแต่ละลำดับเท่ากับอัตราร้อยละ 1.5 ของราคาค่าเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ในแต่ละลำดับ ซึ่งสอดคล้องกับที่โจทก์นำสืบว่า จำเลยทั้งสองให้เครดิตโจทก์และคิดดอกเบี้ยในส่วนที่ชำระราคาเกินเวลากำหนดไปในอัตราร้อยละ 1.5 ถึง 2 ต่อเดือน คงมีเฉพาะลำดับที่ 15 ซึ่งเป็นการชำระราคาค่าเช่าซื้อรถจักรยานยนต์จำนวนมากถึง 18 คัน ที่มีการชำระเงินในส่วนผลต่างสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 1.5 ต่อเดือน ซึ่งอาจจะเป็นการตกลงเป็นเรื่องเฉพาะเป็นครั้งคราวได้ พยานหลักฐานโจทก์จึงสอดคล้องกันมีน้ำหนักน่าเชื่อถือ ที่จำเลยที่ 1 นำสืบว่า เช็คตามเอกสารหมาย จ.1 จำนวน 35 ฉบับ เป็นการชำระหนี้กู้ยืมนั้น ไม่มีพยานหลักฐานอื่นใดสนับสนุนจึงมีน้ำหนักน้อยกว่าพยานหลักฐานของโจทก์ และฟังได้ว่าเช็คเอกสารหมาย จ.1 เป็นการชำระราคาค่าเช่าซื้อรถจักรยานยนต์จำนวน 183 คัน ดังนั้นการที่โจทก์ชำระหนี้ดังกล่าวตามเช็คและรายการชำระเงินเอกสารหมาย จ.3 และ จ.10 จำนวน 3,320,150 บาท จึงเป็นการชำระหนี้ซ้ำซ้อน จำเลยที่ 1 ได้รับเงินจำนวนนี้มาโดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ และเป็นทางให้โจทก์เสียเปรียบจำเลยที่ 1 จึงต้องคืนเงินดังกล่าวให้แก่โจทก์ในฐานลาภมิควรได้ และเนื่องจากทรัพย์ที่ต้องคืนเป็นเงิน จำเลยที่ 1 จึงต้องชำระคืนพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี แต่ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้บอกกล่าวให้จำเลยที่ 1 คืนเงินดังกล่าวก่อนฟ้องคดี จึงให้คิดดอกเบี้ยได้นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป จนกว่าจะชำระแล้วเสร็จ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ด้วยนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 3,320,150 บาท พร้อมดอกเบี้มยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (14 สิงหาคม 2544) เป็นต้น ไปจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์และให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นแทนโจทก์ เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนเท่าทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดีในชั้นฎีกา ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีการะหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3

Share