แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ป.พ.พ. มาตรา 707 บัญญัติว่า “บทบัญญัติมาตรา 681 ว่าด้วยค้ำประกันนั้น ท่านให้ใช้ได้ในการจำนอง อนุโลมตามควร” กล่าวโดยเฉพาะตามนัยมาตรา 681 ที่ว่าหนี้ที่อาจเกิดขึ้นโดยสมบูรณ์ในอนาคตย่อมทำสัญญาค้ำประกันได้ ดังนั้นเมื่อโจทก์มอบเงินกู้แก่จำเลยที่ 1 ภายหลังจากทำสัญญาจำนองหนี้เงินกู้ในส่วนนั้นย่อมสมบูรณ์ การจำนองเป็นประกันการชำระหนี้ดังกล่าวล่วงหน้าจึงบังคับแก่กันได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มีฐานะเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายประเภทบริษัทมหาชน จำกัด ประกอบการธนาคารพาณิชย์ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาหาดใหญ่เป็นสาขาหนึ่งของโจทก์ เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2535 จำเลยที่ 1 กู้และรับเงินไปจากโจทก์จำนวน 50,000,000 บาท โดยยินยอมเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 16.5 ต่อปี กำหนดชำระดอกเบี้ยเป็นรายเดือนทุกวันที่ 5 ของทุกเดือนโดยจะผ่อนชำระเดือนละ 860,000 บาท ชำระงวดแรกในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2535 และจะชำระให้เสร็จภายใน 96 เดือน คือวันที่ 26 ตุลาคม 2543 หากผิดนัดงวดใดงวดหนึ่งถือว่าผิดนัดทั้งหมดยินยอมให้ฟ้องคดีได้ทันที และเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2537 จำเลยที่ 1 ได้กู้และรับเงินไปจากโจทก์อีกจำนวนหนึ่ง 10,000,000 บาท โดยยินยอมเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 13.75 ต่อปี กำหนดชำระดอกเบี้ยเป็นรายเดือนทุกวันที่ 5 ของทุกเดือน โดยจะผ่อนชำระเดือนละ 160,000 บาท ชำระงวดแรกในวันที่ 5 มิถุนายน 2537 และจะชำระเสร็จภายใน 105 เดือน คือ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2546 หากผิดนัดงวดใดงวดหนึ่งถือว่าผิดนัดทั้งหมดยอมให้ฟ้องคดีได้ทันที จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 ได้ทำสัญญาค้ำประกันการกู้ยืมเงินของจำเลยที่ 1 จำนวนเงิน 50,000,000 บาท และจำเลยที่ 2 ได้ทำสัญญาค้ำประกันในการกู้ยืมเงินของจำเลยที่ 1 จำนวนเงิน 10,000,000 บาท ดังกล่าวโดยจำเลยที่ 2 และที่ 3 ยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมนอกจากนี้จำเลยที่ 1 ได้จำนองที่ดินตราจองเลขที่ 288, 642, 643, 644, 1950 และที่ดินโฉนดเลขที่ 16627 ตำบลหาดใหญ่ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา พร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นประกัน จำนวนเงิน 33,000,000 บาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 16.5 ต่อปี ต่อมาเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2540 จำเลยที่ 1 ขึ้นเงินจำนองอีก 25,000,000 บาท รวมเป็นเงินจำนอง 58,000,000 บาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี และเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2537 จำเลยที่ 1 ได้จำนองที่ดินตราจองเลขที่ 4400 ตำบลหาดใหญ่ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา พร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นประกันจำนวนเงิน 1,750,000 บาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 13.75 ต่อปี และเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2535 จำเลยที่ 2 ได้จำนองที่ดินตราจองเลขที่ 709, 710, 1179, 1530, 1531, 1532, 1533 ตำบลหาดใหญ่ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา พร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นประกันการกู้ยืมเงินของจำเลยที่ 1 จำนวน 8,800,000 บาท ต่อมาวันที่ 4 มีนาคม 2537 จำเลยที่ 2 ขึ้นเงินจำนองครั้งที่ 1 อีกจำนวน 2,500,000 บาท รวมเป็นเงิน 11,300,000 บาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 19 ต่อปี ต่อมาวันที่ 30 พฤษภาคม 2537 จำเลยที่ 2 ขึ้นเงินจำนองครั้งที่ 2 อีกจำนวน 8,250,000 บาท รวมเป็นเงินจำนอง 19,550,000 บาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 13.75 ต่อปี และเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2535 จำเลยที่ 2 ได้ทำสัญญาจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 22727, 22728, 22729, 22730, 22182 และที่ดินตราจองเลขที่ 3427, 3428, 3429 ตำบลควนลัง อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา พร้อมสิ่งปลูกสร้างจำนวนเงิน 5,000,000 บาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 16.5 ต่อปี และเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2535 จำเลยที่ 3 ได้ทำสัญญาจำนองที่ดินตราจองเลขที่ 2178 ตำบลหาดใหญ่ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา พร้อมสิ่งปลูกสร้างจำนวนเงิน 14,400,000 บาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 19 ต่อปี ต่อมาเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2535 จำเลยที่ 3 ขึ้นเงินจำนองอีก 10,000,000 บาท รวมเป็นเงินจำนองทั้งสิ้น 24,400,000 บาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 19 ต่อปี เพื่อเป็นประกันหนี้ของจำเลยที่ 1 ที่มีอยู่ในขณะทำสัญญาหรือจะมีต่อไปในภายหลัง โดยมีข้อตกลงด้วยว่าหากบังคับจำนองแล้วได้เงินสุทธิไม่พอชำระหนี้จำเลยทั้งสามยินยอมชดใช้ส่วนที่ขาดจนครบ หลังจากจำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้และรับเงินไปแล้วจำเลยที่ 1 ชำระเงินให้โจทก์บ้างบางครั้ง โดยชำระครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 26 กันยายน 2539 จากนั้นไม่ชำระ จำเลยที่ 1 คงค้างชำระเงินต้นตามสัญญากู้ทั้งสองฉบับเป็นเงิน 52,420,044.36 บาท และคิดดอกเบี้ยถึงวันฟ้องเป็นเงิน 20,810,039.52 บาท รวมเป็นเงิน73,230,083.88 บาท จำเลยที่ 1 และที่ 2 ต้องรับผิดต่อโจทก์รวมเป็นเงิน 73,230,083.88 จำเลยที่ 3 ต้องร่วมรับผิดเงินต้น 42,753,665.01 บาท และดอกเบี้ย 16,972,619.34 บาท รวมเป็นเงิน 59,726,284.35 บาท โจทก์ได้บอกกล่าวทวงถาม และบังคับจำนองไปยังจำเลยทั้งสามแล้วแต่จำเลยทั้งสามไม่ชำระ ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 73,230,083.88 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 18 ต่อปี ในต้นเงินจำนวน 52,420,044.36 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ และให้จำเลยที่ 3 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 59,726,284.35 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 42,753,665.01 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ หากจำเลยทั้งสามไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองและทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสามออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระจนครบ
จำเลยทั้งสามให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่เคยได้รับเงินตามสัญญากู้จากโจทก์ เพราะโจทก์มิได้นำเงินที่กู้ไปหักกลบยอดหนี้เบิกเงินเกินบัญชีของจำเลยที่ 1 ตามที่เจ้าหน้าที่ของโจทก์แจ้งยอดไว้จำเลยทั้งสามไม่เคยทำสัญญาจำนองและข้อตกลงต่อท้ายสัญญาจำนอง จำเลยที่ 3 ไม่เคยทำสัญญาค้ำประกัน โจทก์ไม่ได้คิดดอกเบี้ยตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย และการบอกกล่าวบังคับจำนองไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 73,230,083.88 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 52,420,044.36 บาท โดยให้จำเลยที่ 3 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ในหนี้ดังกล่าวจำนวน 59,726,284.35 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีของเงินจำนวน 42,753,665.01 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (วันที่ 11 ธันวาคม 2541) จนกว่าจะชำระเสร็จ ถ้าจำเลยทั้งสามไม่ชำระหนี้หรือชำระไม่ครบ ให้ยึดทรัพย์สินที่จำเลยทั้งสามได้จดทะเบียนจำนองไว้แก่โจทก์เป็นประกันการชำระหนี้รายนี้ทุกรายการออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระแทน หากได้เงินจำนวนสุทธิไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสามออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระจนครบ กับให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 200,000 บาท
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 60,000 บาท และให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์ 20,000 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติในชั้นนี้ว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทมหาชนจำกัด มีนายอมรเป็นกรรมการมีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ซึ่งรวมทั้งที่ได้บอกกล่าวทวงถามบังคับจำนองแก่จำเลยทั้งสามในคดีนี้ และโจทก์ประกอบการธนาคารพาณิชย์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยที่ให้สิทธิธนาคารพาณิชย์เรียกเอาได้จากลูกค้าธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาหาดใหญ่ เป็นสาขาของโจทก์ด้วย จำเลยที่ 1 เป็นลูกค้ามีบัญชีเงินฝากกระแสรายวันเลขที่ 259-304910-5 เปิดไว้กับสาขาดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 19 ธันวาคม 2543 ตามเอกสารหมาย จ.5
ปัญหาต้องวินิจฉัยประการแรกตามฎีกาของจำเลยทั้งสามมีว่า จำเลยที่ 1 ได้รับเงินกู้ไปจากโจทก์หรือไม่ และต้องรับผิดเพียงใด ปัญหานี้นอกจากโจทก์จะมีหนังสือสัญญากู้ฉบับจำนวนเงิน 50,000,000 บาท และฉบับจำนวนเงิน 10,000,000 บาท ที่จำเลยทั้งสามเถียงว่า โจทก์ลวงให้จำเลยที่ 1 ลงชื่อผูกพันเป็นผู้กู้ไว้ก่อน ตามเอกสารหมาย จ.6 และ จ.7 มาเสนอแสดงแล้ว ยังได้ความจากนายอภิชาติ พยานโจทก์ซึ่งมีตำแหน่งเป็นผู้ช่วยผู้จัดการด้านสินเชื่อสาขาหาดใหญ่ของโจทก์มาเบิกความรับรองด้วยว่า หลังจากสำนักงานใหญ่ของโจทก์ได้อนุมัติให้จำเลยที่ 1 กู้ จำเลยที่ 1 ก็ได้รับเงินกู้ทั้ง 2 จำนวนเหล่านี้ไปจากโจทก์ครบถ้วนแล้ว ดังปรากฏตามหลักฐานแสดงการรับเงินกู้โดยจำนอง ฉบับลงวันที่ 30 ธันวาคม 2535 และฉบับลงวันที่ 31 พฤษภาคม 2537 ที่จำเลยที่ 1 ลงชื่อรับเงินไว้ ตามเอกสารหมาย จ.8 ส่วนฝ่ายจำเลยทั้งสามไม่มีพยานหลักฐานอื่นใดมาสืบหักล้างเอกสารดังกล่าวว่าไม่ถูกต้องตามความเป็นจริงอย่างใด นอกจากนั้น จำเลยที่ 1 เองยังเบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านยอมรับเกี่ยวกับสำเนา (การ์ด) บัญชีกระแสรายวันของจำเลยที่ 1 เลขที่ 259-304910-5 เอกสารหมาย จ.26 ที่โจทก์อ้างมาสนับสนุนคดีด้วยว่าตามหลักฐานใบรับเงินทั้งสองฉบับดังกล่าวเอกสารหมาย จ.8 นั้น ระบุวันที่ และจำนวนเงินถูกต้องตรงกันกับที่ระบุไว้ในสำเนา (การ์ด) บัญชีกระแสรายวัน เอกสารหมาย จ.26 อันเจือสมด้วยพยานหลักฐานโจทก์สนับสนุนให้ข้อนำสืบของโจทก์มีน้ำหนักรับฟังได้ยิ่งขึ้น ดังนั้นลำพังคำเบิกความของจำเลยที่ 1 ที่ว่า จำเลยที่ 1 เพียงลงชื่อในสรรพเอกสารให้เจ้าหน้าที่ของโจทก์ไปตามที่ชี้ชวนว่าเพื่อให้โจทก์มั่นใจสามารถจ่ายเงินแก่จำเลยที่ 1 เกินบัญชีสินเชื่อเดิม หากโจทก์นำไปกรอกข้อความจะได้แจ้งให้จำเลยที่ 1 ทราบ และจำเลยที่ 1 ไม่เคยได้รับเงินใดๆ จากโจทก์ จึงปราศจากเหตุผล ไม่มีน้ำหนักรับฟังได้ และแม้จำเลยที่ 1 จะเบิกความว่า จำเลยที่ 1 ไม่ยืนยันความถูกต้องแท้จริงของสำเนา (การ์ด) บัญชีกระแสรายวัน เอกสารหมาย จ.26 เนื่องจากเอกสารดังกล่าวนั้น โจทก์เป็นผู้ทำขึ้นเอง แต่จำเลยทั้งสามก็ไม่มีพยานหลักฐานอื่นใดมาพิสูจน์หักล้างบัญชีเงินกู้รายตัว สำเนาประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยและสำเนาประกาศของโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.22 ถึง จ.25 เพื่อให้ปรากฏข้อเท็จจริงฟังเป็นอย่างอื่นว่ายอดจำนวนหนี้ที่จำเลยที่ 1 ค้างชำระโจทก์เป็นดอกเบี้ยและต้นเงินที่ปรากฏตามสำเนา (การ์ด) บัญชีกระแสรายวันเอกสารหมาย จ.26 นั้นไม่ถูกต้องตามความเป็นจริงอย่างใด หรือโจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยในอัตราต่างๆ ที่โจทก์ใช้เป็นฐานในการคิดดอกเบี้ยเอาจากจำเลยที่ 1 ตามที่ปรากฏในสำเนา (การ์ด) บัญชีกระแสรายวันเอกสารหมาย จ.26 หรือจำเลยที่ 1 ได้ชำระหนี้คืนแก่โจทก์ทั้งหมดแล้ว เช่นนี้พยานหลักฐานของโจทก์จึงมีน้ำหนักให้รับฟังว่า จำเลยที่ 1 เป็นลูกหนี้โจทก์ตามจำนวนในฟ้อง ที่จำเลยทั้งสามเถียงในฎีกาว่า ไม่ควรเชื่อถือรับฟังพยานหลักฐานดังกล่าวของโจทก์ เพราะไม่ปรากฏมีพยานปากใดของโจทก์พบเห็นจำเลยที่ 1 ลงชื่อเป็นผู้กู้ และโจทก์เพิ่งโอนเงินตามสัญญากู้เอกสารหมาย จ.6 แก่จำเลยที่ 1 ล่วงเลยหลังจากวันทำสัญญาเนิ่นนานเป็นเดือน กับโจทก์มิได้นำสืบให้เห็นว่า จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ของจำเลยที่ 1 ซึ่งฝ่าฝืนต่อความเป็นจริงนั้น เห็นว่าจำเลยที่ 1 มิได้ปฏิเสธว่าเลยมือชื่อผู้กู้มิใช่เป็นของจำเลยที่ 1 ตามสัญญากู้เอกสารหมาย จ.6 และ จ.7 จึงถือว่าโจทก์มีหลักฐานเป็นหนังสือตามกฎหมายแล้ว และโจทก์มีหนังสือบอกกล่าวทางถามและบังคับจำนองไปยังจำเลยที่ 1 ทางไปรษณีย์ตอบรับด้วย ซึ่งจำเลยที่ 1 ได้รับแล้ว หากจำเลยที่ 1 มิได้กู้เงินและไม่ได้รับเงินกู้จากโจทก์ จำเลยที่ 1 ก็น่าจะโต้แย้งคัดค้านไว้ มิใช่นิ่งเฉย ส่วนที่โจทก์เพิ่งโอนเงินกู้ให้แก่จำเลยที่ 1 มิได้โอนให้ในวันทำสัญญากู้ ก็ได้ความจากนายอภิชาติว่า เป็นไปตามความประสงค์ของจำเลยที่ 1 และโจทก์เพิ่งเริ่มคิดดอกเบี้ยเมื่อจำเลยที่ 1 ได้รับเงินกู้ นอกจากนั้น ที่นายอภิชาติพยานโจทก์เบิกความว่า จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ (ทั้ง 2 สัญญา) ครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2535 และเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2537 นั้น ก็เป็นเพียงเรื่องการเบิกความผิดพลาดไป ซึ่งมิใช่ข้อสำคัญ หาเป็นพิรุธดังที่จำเลยทั้งสามอ้างเป็นข้อฎีกาไม่ เพราะตามรายการบัญชี เอกสารหมาย จ.22 และ จ.23 จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 26 กันยายน 2539 ซึ่งตรงกับคำฟ้องของโจทก์ และวันที่ 26 ตุลาคม 2535 ดังกล่าวเป็นวันทำสัญญากู้เงินจำนวน 50,000,000 บาท ตามเอกสารหมาย จ.6 ที่ศาลล่างทั้งสองศาลพิพากษาให้จำเลยที่ 1 รับผิดต่อโจทก์ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาในประการนี้ของจำเลยทั้งสามฟังไม่ขึ้น….
คงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ต่อไปว่าจำเลยที่ 3 จะต้องผูกพันรับผิดตามสัญญาค้ำประกัน และจำเลยที่ 2 กับที่ 3 จะต้องรับผิดตามสัญญาจำนองต่อโจทก์ตามฟ้องหรือไม่ ได้ความจากนายอภิชาติพยานโจทก์ว่าจำเลยที่ 1 กู้เงินโจทก์ไปตามหนังสือสัญญากู้เอกสารหมาย จ.6 และ จ.7 รวม 2 จำนวน เป็นเงิน 50,000,000 บาท และ 10,000,000 บาท โดยมีจำเลยที่ 2 กับที่ 3 และจำเลยที่ 2 ลำพังทำสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย จ.10, จ.11 และ จ.12 เพื่อค้ำประกันหนี้ตามสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.6 และ จ.7 ดังกล่าวตามลำดับ และนายอภิชาติเองได้ลงลายมือเป็นพยานในสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย จ.10 และ จ.11 ด้วย ฝ่ายจำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่มีพยานหลักฐานอื่นใดมาหักล้างว่าสัญญาค้ำประกันทั้งสามฉบับดังกล่าวไม่ถูกต้องตามความเป็นจริงอย่างใด เพราะเหตุใดมีเพียงจำเลยที่ 3 ลำพังเบิกความว่าจำเลยที่ 3 ไม่ยืนยันว่า ลายมือชื่อในช่องผู้ค้ำประกันตามเอกสารหมาย จ.11 เป็นลายมือชื่อของจำเลยที่ 3 หรือไม่ แต่ก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 ถูกบังคับหรือถูกข่มขู่ให้ลงชื่อในสัญญาค้ำประกัน และในหนังสือมอบอำนาจให้ทำสัญญาจำนอง รวมทั้งการที่ต่างได้ลงชื่อในบันทึกจดทะเบียนขึ้นเงินจำนองต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ดังกล่าวด้วย เมื่อประกอบกับในชั้นที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้รับหนังสือทวงถามและบังคับจำนองตามเอกสารหมาย จ.3 และ จ.4 จำเลยที่ 2 และที่ 3 ก็หาได้ปฏิเสธการเป็นหนี้ดังที่ถูกทวงถาม ข้ออ้างของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ที่ว่าโจทก์นำเอกสารต่างๆ ไปจดทะเบียนจำนองโดยมิได้แจ้งให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ทราบ จึงฟังไม่ได้ ตรงกันข้าม การที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ยอมรับว่าต่างลงลายมือชื่อในสรรพเอกสารตามฟ้องซึ่งยังมิได้กรอกข้อความโดยมอบโฉนดที่ดินและใบมอบฉันทะที่ลงชื่อแล้วให้โจท์ไว้เพื่อไปจดทะเบียนจำนองดังกล่ว เมื่อต่อมามีการจดทะเบียนจำนองกันตามกฎหมายก็ย่อมเป็นกรณีต้องรับฟังเป็นจริงตามรายละเอียดในเอกสารสัญญาค้ำประกัน สัญญาจำนอง และข้อตกลงขึ้นเงินจำนองที่โจทก์เสนอแสดงต่อศาลดังที่ศาลล่างทั้งสองศาลพิพากษาต้องกันมาส่วนที่จำเลยทั้งสามฎีกาโต้แย้งเป็นข้อสำคัญว่า สัญญาจำนองตามเอกสารหมาย จ.13 ถึง จ.21 เป็นการจดทะเบียนจำนองและจดทะเบียนขึ้นเงินจำนองเป็นประกันหนี้ก่อนเวลาที่โจทก์จะส่งมอบเงินกู้ทั้ง 2 จำนวนแก่จำเลยที่ 1 การจำนองดังกล่าวจึงเป็นโมฆะบังคับแก่กันไม่ได้นั้น เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 707 ว่าด้วยจำนอง บัญญัติว่า “บทบัญญัติมาตรา 681 ว่าด้วยค้ำประกันนั้น ท่านให้ใช้ได้ในการจำนอง อนุโลมตามควร” กล่าวโดยเฉพาะ ตามนัยมาตรา 681 ที่ว่าหนี้ที่อาจเกิดขึ้นโดยสมบูรณ์ในอนาคตย่อมทำสัญญาค้ำประกันได้ ดังนั้น ในกรณีนี้ หลังจากทำสัญญาจำนองกันดังกล่าว เมื่อต่อมาโจทก์มอบเงินกู้ทั้ง 2 จำนวนแก่จำเลยที่ 1 หนี้เงินกู้ในส่วนนั้นก็สมบูรณ์ การจำนองเป็นประกันการชำระหนี้ดังกล่าวล่วงหน้าจึงบังคับแก่กันได้ จำเลยทั้งสามผู้จำนองจึงต้องรับผิดต่อโจทก์ ที่ศาลล่างทั้งสองศาลพิพากษาให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 รับผิดต่อโจทก์ตามสัญญาค้ำประกันและสัญญาจำนองตามฟ้อง ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย”
พิพากษายืน ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าทนายความชั้นฎีกาแทนโจทก์ 10,000 บาท