แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินของโจทก์คิดเป็นเนื้อที่ 74 ตารางวา ราคาประเมินตารางวาละ 1,000 บาท เป็นทุนทรัพย์ 74,000 บาทจำเลยต่อสู้กรรมสิทธิ์โดยอ้างการครอบครองปรปักษ์จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ ที่ดินอีกส่วนหนึ่งจำเลยอ้างว่าเป็นที่ดินของกรมชลประทาน เท่ากับว่าจำเลยมิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย ส่วนนี้เป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ แต่โจทก์กล่าวในฟ้องว่าหากให้เช่าจะได้ค่าเช่าไม่น้อยกว่าเดือนละ 1,000 บาท จึงเป็นคดีฟ้องขับไล่บุคคลใด ๆ ออกจากอสังหาริมทรัพย์อันอาจให้เช่าได้ในขณะยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละ 10,000 บาท ฉะนั้นคำฟ้องของโจทก์ทั้งส่วนที่มีทุนทรัพย์และส่วนที่ไม่มีทุนทรัพย์จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 ที่โจทก์ฎีกาว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ได้ให้จำเลยเช่าตามสัญญาเช่า เป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามมิให้ฎีกา
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยและบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่ 31664 เลขที่ดิน 386 กับให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ เดือนละ 1,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดิน และส่งมอบที่ดินในสภาพเรียบร้อยคืนแก่โจทก์
จำเลยให้การกับแก้ไขคำให้การและฟ้องแย้ง ขอให้ยกฟ้องและพิพากษาให้ที่ดินพิพาทตามฟ้องโจทก์เฉพาะส่วนที่ไม่ใช่เป็นของกรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้ง ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินของโจทก์โฉนดเลขที่ 31664 เลขที่ดิน 386 กับให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 200 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (วันที่ 4 มิถุนายน 2542) เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดิน ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท และให้ยกฟ้องแย้งจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษากลับให้ยกฟ้อง และให้ที่ดินพิพาทตามแนวกรอบเส้นสีเขียวเนื้อที่ 74 ตารางวา ตามแผนที่วิวาทในส่วนที่อยู่ในโฉนดที่ดินเลขที่ 31664 เลขที่ดิน 386 เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนของคำฟ้องและฟ้องแย้งทั้งสองศาลให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินโฉนดเลขที่ 31664 เนื้อที่ประมาณ 70 ตารางวา โดยอ้างว่าจำเลยเช่าที่ดินของโจทก์ จำเลยให้การว่า ไม่ได้เช่าที่ดินของโจทก์ ที่ดินที่จำเลยปลูกบ้านพักอาศัยและทำประโยชน์บางส่วนเป็นที่ดินของกรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ส่วนที่ดินที่อยู่นอกเขตของกรมชลประทาน จำเลยครอบครองทำประโยชน์ตลอดมาโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเกินกว่า 10 ปีแล้ว จำเลยย่อมได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าว เห็นว่า โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินของโจทก์คิดเป็นเนื้อที่ 74 ตารางวา ตามแผนที่วิวาท ราคาประเมินตารางวาละ 1,000 บาท เป็นทุนทรัพย์ 74,000 บาท จำเลยต่อสู้กรรมสิทธิ์โดยอ้างการครอบครองปรปักษ์จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ ที่ดินอีกส่วนหนึ่งจำเลยอ้างว่าเป็นที่ดินของกรมชลประทาน เท่ากับว่าจำเลยมิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย ส่วนนี้เป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ แต่โจทก์กล่าวในฟ้องว่าหากให้เช่าจะได้ค่าเช่าไม่น้อยกว่าเดือนละ 1,000 บาท จึงเป็นคดีฟ้องขับไล่บุคคลใด ๆ ออกจากอสังหาริมทรัพย์อันอาจให้เช่าได้ในขณะยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละ 10,000 บาท ฉะนั้นคำฟ้องของโจทก์ทั้งส่วนที่มีทุนทรัพย์และไม่มีทุนทรัพย์จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 ที่โจทก์ฎีกาว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ได้ให้จำเลยเช่าตามสัญญาเช่า เป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามมิให้ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาโจทก์เป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่วินิจฉัยให้”
พิพากษายกฎีกาโจทก์ คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาทั้งหมดให้แก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมนอกจากนี้ให้เป็นพับ