แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
คดีนี้โจทก์ทั้งสองฟ้องขอแบ่งกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 4161 ส่วนของ บ. บิดาโจทก์ทั้งสองและส่วนของ ผ. ซึ่งเป็นบิดาของ บ. มิได้ฟ้องเกี่ยวกับทรัพย์มรดกโดยตรง เพราะจำเลยเป็นเพียงพี่สาวมิใช่ทายาทโดยธรรมของ บ. สำหรับที่ดินของ ผ. แม้ต่อมาตกเป็นมรดกของทายาทโดยธรรมซึ่งรวมทั้งจำเลยด้วยก็มิใช่การพิพาทกันเรื่องมรดกโดยตรง แต่พิพาทกันในส่วนที่โจทก์ทั้งสองอ้างว่าเป็นกรรมสิทธิ์รวมของ ผ. การที่คำฟ้องกล่าวถึงการขอรับมรดกหรือการรับมรดกแทนที่ของโจทก์ทั้งสองและของ ผ. ในกรรมสิทธิ์รวมที่เป็นส่วนของ บ. และ ผ. ก็เพื่อแสดงให้เห็นถึงที่มาของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 4161 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของ บ. ซึ่งโจทก์ทั้งสองทายาทของ บ. เข้ารับมรดกแทนที่ ฟ้องโจทก์จึงไม่มีประเด็นเกี่ยวกับเรื่องมรดกเลยไม่ว่าเรื่องคดีขาดอายุความ (มรดก) ตามที่ศาลชั้นต้นชี้สองสถานและจำเลยแก้ฎีกาไว้ รวมทั้งฎีกาของจำเลยในประเด็นว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาเกินคำขอในกรณีที่กำหนดให้จำเลยชำระราคาค่าที่ดินในส่วนของ บ. ในราคา 417,600 บาท ศาลฎีกาจึงรับวินิจฉัยฎีกาของโจทก์ทั้งสองและจำเลยในที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 4161 ซึ่งเป็นส่วนของ บ. ตามคำฟ้องเฉพาะในเรื่องกรรมสิทธิ์รวมเท่านั้น
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 4161 เฉพาะส่วนที่เป็นกรรมสิทธิ์หรือมรดกของนายบุญศรี ให้แก่โจทก์ทั้งสองและให้จำเลยโอนที่ดินส่วนที่เป็นกรรมสิทธิ์หรือมรดกส่วนของนายผันให้แก่โจทก์ทั้งสอง หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทน หากดำเนินการไม่ได้ให้นำที่ดินดังกล่าวออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระให้โจทก์ทั้งสองตามส่วน
จำเลยให้การว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 4161 เป็นของจำเลย ไม่ใช่ทรัพย์มรดกของนายบุญศรีและนายผัน โจทก์ทั้งสองไม่มีอำนาจฟ้อง ฟ้องโจทก์ขาดอายุความเนื่องจากโจทก์ทั้งสองไม่ได้ครอบครองทรัพย์มรดกร่วมกับทายาทอื่นเป็นเวลากว่า 30 ปี นับแต่เจ้ามรดกตาย มิได้ฟ้องขอแบ่งทรัพย์มรดกของนายบุญศรีและนายผันภายใน 1 ปี นับแต่เจ้ามรดกตาย และมิได้ฟ้องให้แบ่งทรัพย์มรดกภายใน 5 ปี นับแต่การจัดการมรดกของนายบุญศรีกับนายผันสิ้นสุดลง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยแบ่งปันที่ดินโฉนดเลขที่ 4161 ตำบลบึงน้ำรักษ์ (คลองซอยที่ 14 ฝั่งตะวันออก) อำเภอบางน้ำเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทรา แก่โจทก์ทั้งสองหนึ่งในสามส่วน แต่ทั้งนี้ต้องมีจำนวนเนื้อที่ไม่เกินที่โจทก์ขอ หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย หากไม่อาจแบ่งได้ ให้นำที่ดินดังกล่าวออกขายนำเงินมาแบ่งปันกัน ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความให้ 7,000 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงิน 417,600 บาท แก่โจทก์ทั้งสอง ให้จำเลยใช้ค่าขึ้นศาลในศาลชั้นต้นตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดีในชั้นอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์ทั้งสองและจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว คดีนี้โจทก์ทั้งสองฟ้องขอแบ่งกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 4161 ส่วนของนายบุญศรีบิดาโจทก์ทั้งสองและส่วนของนายผันซึ่งเป็นบิดาของนายบุญศรี มิได้ฟ้องเกี่ยวกับทรัพย์มรดกโดยตรง เพราะจำเลยเป็นเพียงพี่สาวของนายบุญศรี มิใช่ทายาทโดยธรรมของนายบุญศรี และสำหรับที่ดินของนายผัน แม้ต่อมาตกเป็นมรดกของทายาทโดยธรรมซึ่งรวมทั้งจำเลยด้วยก็มิใช่การพิพาทกันเรื่องมรดกโดยตรง แต่พิพาทกันในส่วนที่โจทก์ทั้งสองอ้างว่าเป็นกรรมสิทธิ์รวมของนายผัน การที่คำฟ้องกล่าวถึงการขอรับมรดกหรือการรับมรดกแทนที่ของโจทก์ทั้งสองและของนายผันในกรรมสิทธิ์รวมที่เป็นส่วนของนายบุญศรีและนายผัน ก็เพื่อแสดงให้เห็นถึงที่มาของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 4161 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของนายบุญศรีซึ่งโจทก์ทั้งสองทายาทของนายบุญศรีได้เข้ารับมรดกแทนที่ ฟ้องโจทก์จึงไม่มีประเด็นเกี่ยวกับเรื่องมรดกเลย ไม่ว่าเรื่องคดีขาดอายุความ (มรดก) ตามที่ศาลชั้นต้นชี้สองสถานและจำเลยแก้ฎีกาไว้ รวมทั้งฎีกาของจำเลยในประเด็นว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาเกินคำขอในกรณีที่กำหนดให้จำเลยชำระราคาค่าที่ดินในส่วนของนายบุญศรีในราคา 417,600 บาท ดังนั้น ศาลฎีกาจึงรับวินิจฉัยฎีกาของโจทก์ทั้งสองและจำเลยในที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 4161 ซึ่งเป็นส่วนของนายบุญศรีตามคำฟ้องเฉพาะในเรื่องกรรมสิทธิ์รวมเท่านั้น สำหรับปัญหานี้โจทก์มีตัวโจทก์ทั้งสองเป็นพยานเบิกความยืนยันว่า นายผันได้ขายที่ดินโฉนดเลขที่ 2452 ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์รวมของนายบุญศรีด้วยให้นายเล็กทั้ง ๆ ที่เมื่อนายผันรับมรดกส่วนของนายบุญศรีแทนที่โจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นผู้เยาว์ นายผันบันทึกไว้ในคำขอรับโอนมรดกเฉพาะส่วนว่านายผันจะจัดการโอนให้ในภายหลังแล้วนายผันได้ซื้อที่ดินพิพาทตามโฉนดเลขที่ 4161 ในวันเดียวกัน โดยนายผันได้นำเงินที่ได้จากการขายที่ดินโฉนดเลขที่ 2452 ไปซื้อที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 4161 จากนายบุญช่วย กับนายบุญชู พยานโจทก์ซึ่งนายเล็กให้ใส่ชื่อไว้แทน คำเบิกความของโจทก์ทั้งสองดังกล่าวก็สอดคล้องกับคำเบิกความของนายบุญชูผู้ขายที่ยืนยันว่า นายผันเป็นผู้ซื้อที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 4161 มิใช่จำเลยดังที่จำเลยนำสืบ ประกอบกับที่จำเลยเบิกความว่า เงินที่จำเลยซื้อที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 4161 จำเลยได้มาจากส่วนแบ่ง 1 ใน 3 ที่นายผันแบ่งให้เป็นเงิน 10,000 บาทเศษ กับเงินของจำเลยส่วนอื่นที่จำเลยเก็บไว้เป็นเงินทั้งสิ้น 37,100 บาทนั้นก็เป็นเพียงคำเบิกความลอย ๆ ของจำเลย จำเลยไม่อาจกำหนดรายละเอียดของเงินที่อ้างว่านำมาซื้อที่ดินดังกล่าวได้ แม้แต่จำนวนเงิน 1 ใน 3 ที่จำเลยอ้างว่านายผันแบ่งให้จำเลยก็ได้แต่กะประมาณว่า 10,000 บาท ส่วนเงินเก็บก็ไม่อาจให้รายละเอียดว่ามีจำนวนเท่าใดเช่นกัน และเงินเก็บนั้นจำเลยเก็บไว้อย่างไร ถ้าเป็นเงินเก็บที่ฝากไว้ที่ธนาคารก็ต้องมีหลักฐานการเบิกเงิน ข้ออ้างลอย ๆ ของจำเลยดังกล่าวจึงเป็นข้อสนับสนุนคำเบิกความของนายบุญชูที่เบิกความยืนยันว่า ในวันทำสัญญาขายที่ดินนั้นไม่มีการจ่ายเงินให้แก่กัน เพราะเป็นการแลกเปลี่ยนกัน จำเลยจึงไม่อาจให้รายละเอียดของเงินที่จำเลยอ้างว่าซื้อที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 4161 ได้ รวมทั้งที่จำเลยเบิกความว่า นายผันเป็นผู้รับเงินส่วนของนายบุญศรีไปก็เป็นการกล่าวอ้างลอย ๆ ไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง นอกจากนี้ในวันทำสัญญาซื้อขายนั้น โจทก์ทั้งสองซึ่งมีอายุเพียง 3 ขวบ กับ 4 ขวบก็ไปที่สำนักงานที่ดินกันนายผันและจำเลยด้วยซึ่งแสดงให้เห็นเจตนาของนายผันและจำเลยว่ามีเจตนาใส่ชื่อโจทก์ทั้งสองในที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 4161 ด้วย แต่เจ้าพนักงานที่ดินไม่อาจทำให้ได้ เพราะโจทก์ทั้งสองเป็นผู้เยาว์ นายผันและจำเลยมิใช่ผู้ใช้อำนาจปกครองหรือผู้ปกครองตามคำสั่งศาลประกอบกับจำเลยเบิกความตอบทนายโจทก์ทั้งสองถามค้านว่า ในวันที่ไปจดทะเบียนซื้อที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 4161 นั้น นายเล็ก นายบุญชู และนายบุญช่วยซึ่งไปที่สำนักงานที่ดินด้วยได้ถามนายผันว่าไม่แบ่งที่ดินแปลงพิพาทโฉนดเลขที่ 4161 ให้โจทก์ทั้งสองหรือซึ่งเจือสมกับคำเบิกความของนายบุญชูที่ยืนยันว่าตนก็สอบถามนายผัน จำเลย และนายเลี่ยม สามีจำเลย และคนทั้งสามก็เบิกความว่าจะโอนให้ในภายหลัง เนื่องจากขณะนั้นยังมีข้อขัดข้องในการโอนให้โจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นผู้เยาว์ดังกล่าวข้างต้น คำแก้ฎีกาของจำเลยว่า จำเลยเป็นผู้ซื้อที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 4161 แต่ผู้เดียวจึงยังมีข้อน่าสงสัย ส่วนการที่จำเลยมีชื่อในสัญญาซื้อขาย และโฉนดที่ดินพิพาทเลขที่ 4161 ก็เป็นเพียงข้อสันนิษฐานของกฎหมายเท่านั้นว่าจำเลยแต่ผู้เดียวมีสิทธิครอบครอง พยานหลักฐานที่โจทก์ทั้งสองนำสืบมาดังกล่าวข้างต้นซึ่งชอบด้วยเหตุผลและไม่ได้มีแต่เพียงพยานบอกเล่าแต่ประการเดียวดังที่จำเลยฎีกาและแก้ฎีกานั้น มีน้ำหนักหักล้างข้อสันนิษฐานของกฎหมายดังกล่าวได้ ดังนั้นฎีกาและคำแก้ฎีกาของจำเลยว่า จำเลยแต่เพียงผู้เดียวเป็นผู้ซื้อที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 4161 และไม่เป็นการใส่ชื่อไว้แทนนายบุญศรีหรือโจทก์ทั้งสองนั้น ไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ทั้งสองมีกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินโฉนดเลขที่ 4161 ฎีกาโจทก์ทั้งสองจึงฟังขึ้น ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาให้เป็นพับ