คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8137/2551

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

เมื่อไม่ปรากฏข้อเท็จจริงใดที่แสดงว่า การที่จำเลยใช้ชื่อสกุลของโจทก์เป็นชื่อของจำเลยเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตหรือโจทก์ได้รับความเสียหายหรือต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงจากการที่จำเลยใช้ชื่อ บูรพาชีพ เป็นชื่อของจำเลย จึงถือไม่ได้ว่าการกระทำของจำเลยเป็นเหตุให้โจทก์ต้องเสื่อมเสียประโยชน์ ต้องเสียหายหรือเป็นวิตกว่าจะต้องเสียหายอยู่สืบไปโจทก์จึงไม่อาจขอให้สั่งห้ามจำเลยมิให้ใช้ชื่อ บูรพาชีพเป็นชื่อของจำเลยดังที่บัญญัติไว้ใน ป.พ.พ. มาตรา 18 ได้ ส่วนบริษัทบูรพาโอสถ จำกัดซึ่งเป็นนิติบุคคลแยกต่างหากจากโจทก์ จะได้รับความเสียหายอย่างไรจากการใช้ชื่อบูรพาชีพ ของจำเลย เป็นเรื่องต้องไปว่ากล่าวเอาแก่จำเลยเองไม่เกี่ยวกับโจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ขอให้ห้ามจำเลยใช้คำว่า บูรพาชีพ ตั้งเป็นชื่อบริษัทของจำเลยอีกต่อไป และให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์วันละ 1,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยจะเลิกใช้คำว่า บูรพาชีพ เป็นชื่อของจำเลย
จำเลยให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม เดิมเมื่อปี 2486 บุคคลซึ่งใช้ชื่อสกุล บูรพวงศ์ จดทะเบียนจัดตั้งห้างหุ้นส่วนจำกัดบูรพาอาชีพขึ้น ต่อมาได้ร่วมกันจัดตั้งบริษัทจำกัด แต่ไม่สามารถใช้ชื่อซ้ำกับชื่อห้างหุ้นส่วนจำกัดดังกล่าวได้ จึงใช้ชื่อว่าบูรพาชีพ โดยไม่เคยทราบมาก่อนว่าโจทก์ใช้ชื่อสกุลว่า บูรพาชีพ ชื่อจำเลยตรงกับชื่อสกุลของโจทก์โดยบังเอิญ โจทก์มิได้ใช้ชื่อ บูรพาชีพ ในทางการค้า ทั้งไม่มีกฎหมายบัญญัติห้ามตั้งชื่อนิติบุคคลตรงหรือซ้ำกับชื่อสกุลของบุคคลธรรมดา ส่วนบริษัทของโจทก์ก็ประกอบกิจการค้าแตกต่างกับจำเลย ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่บุคคลทั่วไปจะหลงหรือเข้าใจผิดว่าจำเลยเป็นบริษัทของโจทก์หรือเป็นบริษัทในเครือของโจทก์ จำเลยไม่ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกให้จำเลยชำระค่าเสียหายหรือห้ามจำเลยใช้ชื่อดังกล่าวได้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชั้นฎีการับฟังได้ว่า โจทก์เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนายปัญญาซึ่งถึงแก่ความตายไปแล้ว บิดาโจทก์เป็นผู้ขอจดทะเบียนชื่อสกุลว่า บูรพาชีพ ที่อำเภอลาดยาว จังหวัดนครสวรรค์ ตั้งแต่วันที่ 8 มีนาคม 2493 ส่วนจำเลยจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดให้ชื่อว่า บริษัทบูรพาชีพ จำกัด เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2527
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจกท์มีสิทธิห้ามจำเลยใช้ชื่อบูรพาชีพ เป็นชื่อบริษัทหรือไม่ เห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 18 บัญญัติว่า “สิทธิของบุคคลในการที่จะใช้นามอันชอบที่จะใช้ได้นั้น ถ้ามีบุคคลอื่นโต้แย้งก็ดี หรือบุคคลผู้เป็นเจ้าของนามนั้นต้องเสื่อมเสียประโยชน์เพราะการที่มีผู้อื่นมาใช้นามเดียวกันโดยมิได้รับอำนาจให้ใช้ได้ก็ดี บุคคลผู้เป็นเจ้าของนามจะเรียกให้บุคคลนั้นระงับความเสียหายก็ได้ ถ้าและเป็นที่พึงวิตกว่าจะต้องเสียหายอยู่สืบไปจะร้องขอต่อศาลให้สั่งห้ามก็ได้” จากบทบัญญัติดังกล่าวจะเห็นได้ว่า บุคคลผู้เป็นเจ้าของนามซึ่งต้องเสื่อมเสียประโยชน์เพราะการที่มีผู้อื่นมาใช้นามเดียวกันโดยมิได้รับอำนาจให้ใช้จะร้องขอต่อศาลให้สั่งห้ามมิให้ใช้นามนั้นได้ต่อเมื่อการใช้นามดังกล่าวเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายหรือเป็นที่วิตกว่าจะต้องเสียหายอยู่สืบไป และโจทก์ผู้เป็นเจ้าของนามมีหน้าที่นำสืบถึงความเสียหายดังกล่าวจากการที่จำเลยใช้คำว่าบูรพาชีพ ซึ่งเป็นชื่อสกุลของโจทก์เป็นชื่อของจำเลย โจทก์มีตัวโจทก์อ้างตนเองเบิกความว่า เมื่อโจทก์ทราบว่าจำเลยใช้ชื่อ บูรพาชีพ เป็นชื่อบริษัทซึ่งตรงกับชื่อสกุลของโจทก์ โจทก์ได้แจ้งให้จำเลยเปลี่ยนชื่อจำเลยเป็นอย่างอื่นแต่จำเลยเพิกเฉย การกระทำของจำเลยเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ทำให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของชื่อสกุลบูรพาชีพ ต้องเสื่อมเสียประโยชน์ประกอบกับวัตถุประสงค์ของจำเลยเป็นอย่างเดียวกับวัตถุประสงค์ของบริษัทบูรพาโอสถ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่ก่อตั้งขึ้นโดยบิดาโจทก์ทำให้บุคคลภายนอกเข้าใจสับสนว่า จำเลยเป็นบริษัทในเครือของบริษัทบูรพาโอสถ จำกัด หากจำเลยประสบปัญหาทางการค้าจะทำให้ชื่อสกุลของโจทก์เสียหายไปด้วยและเบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่าเท่าที่จำได้ลูกค้าของจำเลยไม่เคยมาติดต่อกับบริษัทบูรพาโอสถ จำกัด เพราะความสับสนและจำชื่อบริษัทผิด และยังไม่มีผู้ใดหลงหรือสับสนระหว่างชื่อจำเลยกับชื่อบริษัทบูรพาโอสถ จำกัด จากพยานหลักฐานดังกล่าวไม่ปรากฏข้อเท็จจริงใดที่แสดงว่า การที่จำเลยใช้ชื่อสกุลของโจทก์เป็นชื่อของจำเลยเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตหรือโจทก์ได้รับความเสียหายหรือต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงจากการที่จำเลยใช้ชื่อบูรพาชีพ เป็นชื่อของจำเลย จึงถือไม่ได้ว่าการกระทำของจำเลยเป็นเหตุให้โจทก์ต้องเสื่อมเสียประโยชน์ ต้องเสียหายหรือเป็นที่วิตกว่าจะต้องเสียหายอยู่สืบไป โจทก์จึงไม่อาจขอให้สั่งห้ามจำเลยมิให้ใช้ชื่อ บูรพาชีพ เป็นชื่อของจำเลยดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 18 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ได้ ส่วนที่โจทก์อ้างว่า วัตถุประสงค์ของจำเลยเป็นอย่างเดียวกับวัตถุประสงค์ของบริษัทบูรพาโอสถ จำกัด ทำให้บุคคลภายนอกสับสนว่าจำเลยเป็นบริษัทในเครือของบริษัทบูรพาโอสถ จำกัด นั้น เห็นว่า บริษัทบูรพาโอสถ จำกัด เป็นนิติบุคคลแยกต่างหากจากโจทก์ หากบริษัทบูรพาโอสถ จำกัด ได้รับความเสียหายอย่างไรจากการใช้ชื่อบูรพาชีพ เป็นชื่อของจำเลย ก็เป็นเรื่องที่บริษัทบูรพาโอสถ จำกัด ต้องไปว่ากล่าวเอาแก่จำเลยเอง ไม่เกี่ยวกับโจทก์ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้นต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share