แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
จำเลยสั่งซื้อสินค้าและได้รับสินค้าจากโจทก์แล้ว ถือได้ว่า การซื้อขายสินค้ารายนี้โจทก์ผู้ขายได้ชำระหนี้ให้แก่จำเลยผู้ซื้อแล้ว โจทก์ไม่จำต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือและมีลายมือชื่อของจำเลยมาแสดง การซื้อขายชอบด้วย ป.พ.พ. มาตรา 456 วรรคสองและวรรคสาม จำเลยต้องชำระค่าสินค้าพร้อมดอกเบี้ยให้โจทก์ตามฟ้อง
จำเลยสั่งซื้อสินค้าจากโจทก์เพื่อนำไปจำหน่ายให้แก่ลูกค้าอันเป็นการประกอบธุรกิจของจำเลย การที่โจทก์ฟ้องขอบังคับให้จำเลยชำระหนี้ค่าสินค้า จึงเป็นกรณีที่โจทก์ผู้ประกอบการค้าหรืออุตสาหกรรมใช้สิทธิเรียกร้องเอาค่าสินค้าจากจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ที่สั่งซื้อมาเพื่อนำมาใช้ในการประกอบธุรกิจของจำเลยอีกต่อหนึ่ง เป็นการที่ได้ทำเพื่อกิจการของฝ่ายลูกหนี้นั้นเอง จึงอยู่ในบังคับ ป.พ.พ. มาตรา 193/33 (5) ประกอบมาตรา 193/34 (1) สิทธิเรียกร้องตามฟ้องโจทก์จึงมีอายุความ 5 ปี มิใช่อายุความ 2 ปี ตามมาตรา 193/34 (1) เมื่อโจทก์ฟ้องคดีนี้ยังไม่เกินกำหนด 5 ปี นับแต่วันที่โจทก์อาจใช้สิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้ได้ คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระเงินค่าสินค้าพร้อมดอกเบี้ยเป็นเงิน 326,959.38 บาท และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 252,505 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 10,000 บาท
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษากลับ ให้จำเลยใช้เงิน 326,959.38 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงิน 252,505 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 18 กรกฎาคม 2545) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลตกเป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า จำเลยสั่งซื้อสินค้าจากโจทก์และจะต้องชำระค่าสินค้าตามฟ้องให้โจทก์หรือไม่ โจทก์มีนายพรเทพ นายพีรศักดิ์ และนายชูเกียรติ เบิกความประกอบกันว่า จำเลยสั่งซื้อสินค้าจากโจทก์ในนามร้าน เอส. พี.ซัพพลาย หลายครั้ง รวมเป็นเงิน 252,505 บาท ตามรายการสั่งซื้อ โจทก์ให้บริษัทบางกอกลำปางขนส่ง จำกัด เป็นผู้ส่งสินค้าให้จำเลยที่จังหวัดลำปางหลังจากจำเลยผิดนัดไม่ชำระค่าสินค้าให้โจทก์นายพรเทพได้ติดตามทวงถามจำเลยหลายครั้งจำเลยรับว่าเป็นหนี้ค่าสินค้าจริงแต่ไม่มีเงินชำระ ส่วนจำเลยมีตัวจำเลยเบิกความว่าจำเลยไม่เคยสั่งซื้อสินค้าจากโจทก์โดยใช้ชื่อร้าน เอส.พี.ซัพพลาย และจำเลยไม่เคยรับสินค้าจากโจทก์ เห็นว่า นายพีรศักดิ์พยานโจทก์ซึ่งทำงานอยู่ที่บริษัทบางกอกลำปางขนส่ง จำกัด มีหน้าที่ตรวจสอบสินค้าที่นำส่งเบิกความยืนยันว่าทางบริษัทบางกอกลำปางขนส่ง จำกัด ได้จัดส่งสินค้าให้แก่ ร้าน เอส.พี.ซัพพลาย เรียบร้อยแล้ว แต่ไม่มีหลักฐานการเซ็นต์รับสินค้ามาแสดงเพราะทางบริษัทฯ ทำลายเอกสารดังกล่าวแล้วเนื่องจากเกิน 1 ปี นับแต่วันส่งสินค้า นายพีรศักดิ์พยานโจทก์ปากนี้เป็นคนกลางไม่มีส่วนได้ส่วนเสียในผลแห่งคดี คำเบิกความของนายพีรศักดิ์จึงมีน้ำหนักน่าเชื่อถือ จำเลยเบิกความอ้างว่า ร้าน เอส.พี.ซัพพลาย เป็นของภริยาจำเลยแต่จำเลยยอมรับว่า จำเลยเคยไปติดต่อขายสินค้าของร้าน เอส.พี.ซัพพลายให้แก่การไฟฟ้าอำเภอแม่เมาะ แสดงให้เห็นว่าจำเลยกับภริยาร่วมกันดำเนินกิจการค้าของร้าน เอส.พี.ซัพพลาย ตามรายการซื้อสินค้า ในเดือนมีนาคม พฤษภาคมและ กรกฎาคม 2541 ปรากฏว่ามีโทรสารจากร้าน เอส.พี.ซัพพลาย สั่งซื้อสินค้าจากโจทก์โดยจำเลยเป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งซื้อพร้อมประทับตราชื่อร้าน เอส.พี.ซัพพลายกำกับ จำเลยก็มิได้โต้แย้งถึงความถูกต้องแท้จริงของเอกสารดังกล่าวแต่อย่างใด ทั้งจำเลยเบิกความยอมรับว่า จำเลยเป็นคนสั่งซื้อสินค้าจากโจทก์ตามใบสั่งซื้อสินค้าฉบับลงวันที่ 21 เมษายน 2541 จริง แต่จำเลยเบิกความบ่ายเบี่ยงว่า จำเลยไม่ได้รับสินค้าตามใบสั่งซื้อสินค้าดังกล่าวจากโจทก์โดยไม่มีเหตุผลมาอ้างอิง พยานหลักฐานโจทก์สอดคล้องต้องกันมีน้ำหนักในการรับฟังมากกว่าพยานหลักฐานของจำเลยข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยสั่งซื้อสินค้าและได้รับสินค้าจากโจทก์แล้วถือได้ว่าการซื้อสินค้ารายนี้โจทก์ผู้ขายได้ชำระหนี้ให้แก่จำเลยผู้ซื้อแล้ว โจทก์ไม่จำต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือและมีลายมือชื่อของจำเลยมาแสดง การซื้อขายชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 วรรคสองและวรรคสาม จำเลยจึงต้องชำระค่าสินค้าพร้อมดอกเบี้ยให้โจทก์ตามฟ้อง ฎีกาของจำเลยในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาต่อไปมีว่า คดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ จำเลยฎีกาว่า โจทก์ฟ้องคดีนี้เกินกว่า 2 ปี นับแต่วันที่โจทก์อาจใช้สิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระค่าสินค้าคดีโจทก์จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 195/34 (1) เห็นว่า จำเลยสั่งซื้อสินค้าจากโจทก์เพื่อนำไปจำหน่ายให้แก่ลูกค้าอันเป็นการประกอบธุรกิจของจำเลย การที่โจทก์ฟ้องขอให้บังคับให้จำเลยชำระหนี้ค่าสินค้าจึงเป็นกรณีที่โจทก์ผู้ประกอบการค้าหรืออุตสาหกรรมใช้สิทธิเรียกร้องเอาค่าสินค้าจากจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ที่สั่งซื้อมาเพื่อนำมาใช้ในการประกอบธุรกิจของจำเลยอีกต่อหนึ่ง เป็นการที่ได้ทำเพื่อกิจการของฝ่ายลูกหนี้นั่นเอง จึงอยู่ในบังคับประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/33 (5) ประกอบมาตรา 193/34 (1) สิทธิเรียกร้องตามฟ้องโจทก์จึงมีอายุความ 5 ปี มิใช่อายุความ 2 ปี ตามมาตรา 193/34 (1) เมื่อโจทก์ฟ้องคดีนี้ยังไม่เกินกำหนด 5 ปี นับแต่วันที่โจทก์อาจใช้สิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้ได้ คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ ฎีกาของจำเลยในข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน”
พิพากษายืน โจทก์ไม่แก้ฎีกา จึงไม่กำหนดค่าทนายความให้