คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2492/2552

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความผิดฐานพรากผู้เยาว์ตาม ป.อ. มาตรา 317 ถึงมาตรา 319 กฎหมายมุ่งคุ้มครองอำนาจปกครองของบิดามารดา ผู้ปกครองหรือผู้ดูแล มิใช่ตัวผู้เยาว์ผู้ถูกพราก ทั้งนี้เพื่อมิให้ผู้ใดมาก่อการรบกวนหรือกระทำการใดๆ อันเป็นการกระทบกระทั่งต่ออำนาจปกครองไม่ว่าจะโดยตรงหรือโดยปริยาย ไม่ว่าผู้เยาว์จะไปอยู่ที่แห่งใด หากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแลยังเอาใจใส่อยู่ ผู้เยาว์ย่อมอยู่ในอำนาจปกครองดูแลของบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแลตลอดเวลา นอกจากนี้กฎหมายมิได้จำกัดว่าพรากโดยวิธีการอย่างใดและไม่ว่าผู้เยาว์จะเป็นฝ่ายออกจากบ้านไปเองโดยมีผู้ชักนำ หรือไม่มีผู้ชักนำก็ตาม ก็ย่อมเป็นความผิดทั้งสิ้น การที่ผู้เยาว์ไปหาจำเลยที่บ้าน ไม่ว่าใครจะเป็นฝ่ายนัดหมายชักชวนกันก่อนแล้วจำเลยร่วมประเวณีกับผู้เยาว์ โดยไม่ได้รับอนุญาตหรือความยินยอมจากบิดามารดาของผู้เยาว์ย่อมทำให้อำนาจปกครองดูแลบุตรผู้เยาว์ถูกพรากจากไปโดยปริยาย และการที่ผู้เยาว์โทรศัพท์หาจำเลยว่าจะหนีออกจากบ้านไปพัทยาและนัดพบจำเลย เมื่อพบกันจำเลยไม่ยอมให้ผู้เยาว์ไปตามลำพัง แต่จำเลยขอไปด้วย โดยเปิดห้องพักอยู่ด้วยกัน 2 คืน ผู้เยาว์เป็นคนชำระค่าห้องพักและค่าใช้จ่าย ทั้งผู้เยาว์ยังให้เงินจำเลยเป็นค่าใช้จ่ายในการหลบหนีด้วยก็ตาม แต่จำเลยได้ร่วมประเวณีกับผู้เสียหายทุกคืน พฤติการณ์จำเลยมิใช่การไปเป็นเพื่อนแต่เป็นการพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารทั้งสองกรณี

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 319
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับเป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319 วรรคแรก การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรม ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ให้จำคุกกระทงละ 2 ปี รวม 3 กระทง จำคุก 6 ปี ชั้นสอบสวนจำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ลดโทษให้หนึ่งในสี่ คงจำคุกจำเลย 3 ปี 18 เดือน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า จำเลยได้กระทำความผิดตามฟ้องทั้งสามกรรมหรือไม่ เห็นว่า ความผิดฐานพรากผู้เยาว์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 ถึงมาตรา 319 การพรากผู้เยาว์ไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครองหรือผู้ดูแล จะต้องเป็นการกระทำที่ปราศจากเหตุอันสมควรตามมาตรา 317 วรรคแรก และถ้ามีเจตนาพิเศษเพื่อหากำไรหรือ เพื่อการอนาจารก็ต้องรับโทษหนักขึ้น ตามมาตรา 317 วรรคสาม และถ้ากรณีผู้เยาว์อายุกว่า 15 ปี แต่ยังไม่เกิน 18 ปี โดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วยตามมาตรา 318 ย่อมมีโทษหนักกว่ากรณีผู้เยาว์เต็มใจไปด้วยตามมาตรา 319 กฎหมายมุ่งคุ้มครองอำนาจปกครองของบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแลนั่นเอง มิใช่ตัวผู้เยาว์ผู้ถูกพราก ทั้งนี้เพื่อมิให้ผู้ใดมาก่อการรบกวนหรือกระทำการใดๆ อันเป็นการกระทบกระทั่งต่ออำนาจปกครองไม่ว่าจะโดยตรงหรือโดยปริยาย ไม่ว่าผู้เยาว์จะไปอยู่ที่แห่งใด หากบิดามารดา ผู้ปกครองหรือผู้ดูแลยังเอาใจใส่อยู่ ผู้เยาว์ย่อมอยู่ในอำนาจปกครองดูแลของบิดามารดา ผู้ปกครองหรือผู้ดูแลตลอดเวลา นอกจากนี้กฎหมายมิได้จำกัดว่าพรากไปโดยวิธีการอย่างใด และไม่ว่าผู้เยาว์จะเป็นฝ่ายออกจากบ้านไปเองโดยมีผู้ชักนำ หรือไม่มีผู้ชักนำก็ตามก็ย่อมเป็นความผิดทั้งสิ้น ดังนั้น ในวันที่ 19 และวันที่ 21 พฤศจิกายน 2545 ที่ผู้เยาว์ไปหาจำเลยที่บ้านของจำเลย ไม่ว่าใครจะเป็นฝ่ายนัดหมายชักชวนกันก่อน และจำเลยได้ร่วมประเวณีกับผู้เยาว์ โดยไม่ได้รับอนุญาตหรือความยินยอมจากบิดามารดาของผู้เยาว์ ย่อมทำให้อำนาจปกครองดูแลบุตรผู้เยาว์ของบิดามารดาที่มีต่อผู้เยาว์ย่อมถูกพรากจากไปโดยปริยาย โดยปราศจากเหตุอันสมควร เพราะตามทางนำสืบของโจทก์ได้ความว่า มารดาของผู้เยาว์ห้ามปรามมิให้ผู้เยาว์คบหากับจำเลย ทั้งจำเลยเคยมีความสัมพันธ์กับเพื่อนพี่สาวผู้เยาว์จนตั้งครรภ์ การร่วมประเวณีกับผู้เยาว์จึงมิใช่การอยู่กินเป็นสามีภริยากันโดยสุจริต แม้ผู้เยาว์จะสมัครใจก็เป็นความผิด สำหรับวันที่ 24 พฤศจิกายน 2545 แม้ผู้เยาว์จะเป็นฝ่ายโทรศัพท์ไปหาจำเลยบอกว่าไม่อยากอยู่บ้านแล้ว จะหนีออกจากบ้านไปพัทยาและบอกจำเลยให้ไปพบที่ท่าน้ำพระประแดง และเมื่อพบกันจำเลยไม่ยอมให้ผู้เยาว์ไปตามลำพัง แต่ขอไปด้วย โดยเปิดห้องพักอยู่ด้วยกัน 2 คืน โดยผู้เยาว์เป็นคนจ่ายค่าห้องและค่าใช้จ่ายต่างๆ เพียงผู้เดียว ทั้งเมื่อกลับถึงจังหวัดสมุทรปราการ ก็ได้ไปเปิดห้องพักที่โรงแรม และผู้เยาว์ทราบจากจำเลยว่ามารดาของผู้เยาว์แจ้งความเรื่องผู้เยาว์หายไป ผู้เยาว์จึงให้เงินจำเลยอีก 10,000 บาท เป็นค่าใช้จ่ายในการหลบหนี ดังจำเลยต่อสู้ก็ตาม แต่ก็ปรากฏว่าจำเลยได้ร่วมประเวณีกับผู้เยาว์ทุกคืน พฤติการณ์ของจำเลยจึงมิใช่ตามไปเป็นเพื่อนในกรณีผู้เยาว์หนีออกจากบ้าน แต่เป็นการพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารเช่นเดียวกับเหตุการณ์ก่อนหน้านั้น การที่มารดาผู้เยาว์ไปแจ้งความ แสดงว่ามารดาผู้เยาว์ยังเอาใจใส่ดูแลผู้เยาว์อยู่ ไม่ทำให้อำนาจปกครองของมารดาผู้เยาว์สิ้นไปในระหว่างผู้เยาว์หนีไปเที่ยวพัทยา ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share