แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งห้าตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา290ซึ่งถือว่าเป็นคำฟ้องของโจทก์ร่วมด้วยโดยไม่ได้บรรยายมาในคำฟ้องว่าผู้ตายได้รับอันตรายสาหัสและทางพิจารณาก็ไม่ได้ความดังกล่าวดังนั้นที่โจทก์ร่วมฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยทั้งห้าตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา297จึงเป็นการฎีกาในข้อหาที่โจทก์ไม่ได้กล่าวมาในฟ้องทั้งเป็นเรื่องที่โจทก์ไม่ได้ประสงค์ให้ลงโทษศาลจึงลงโทษจำเลยทั้งห้าในข้อหาดังกล่าวไม่ได้ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา192วรรคสี่คงลงโทษจำเลยทั้งห้าตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา295ประกอบด้วยมาตรา192วรรคท้ายได้เท่านั้น จำเลยทั้งห้าไม่เคยได้รับโทษจำคุกและไม่ปรากฏความประพฤติในทางเสื่อมเสียประกอบอาชีพโดยสุจริตโดยเฉพาะจำเลยที่1เป็นนักศึกษาอยู่ที่วิทยาลัยครูเหตุที่เกิดขึ้นเนื่องจากผู้ตายเมาสุราแล้วอาละวาดไปหาเรื่องจำเลยทั้งห้าบาดแผลที่เกิดขึ้นมีเพียงตาข้างซ้ายปิดและมีบาดแผลเหนือคิ้วเท่านั้นจำเลยทั้งห้าเพียงแต่เตะต่อยผู้ตายแม้ว่าจำเลยที่2จะจับศีรษะผู้ตายโขกกับพื้นก็ไม่ปรากฏว่ารุนแรงเพียงใดและมีบาดแผลร้ายแรงเกิดขึ้นทั้งหลังเกิดเหตุจำเลยที่3จะนำตัวผู้ตายส่งโรงพยาบาลแต่ผู้ตายไม่ยอมไปแสดงว่าจำเลยทั้งห้าไม่ได้มีเจตนาคิดร้ายต่อผู้ตายพฤติการณ์แห่งคดีจึงมีเหตุสมควรที่จะรอการลงโทษและคุมความประพฤติจำเลยทั้งห้าไว้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งห้ามิได้เจตนาฆ่า แต่ได้ร่วมกันชกต่อย เตะและถีบทำร้ายร่างกายนายอัคเรศ มังกะลัง หลายครั้งเป็นเหตุให้นายอัคเรศถึงแก่ความตายบาดแผลปรากฏตามรายงานความเห็นการชันสูตรพลิกศพของแพทย์ท้ายฟ้อง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290, 83
จำเลยทั้งห้าให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นางเสงี่ยม มังกะลัง มารดาผู้ตายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 ประกอบด้วยมาตรา 83วางโทษจำคุกคนละ 3 ปี ข้อหาอื่นให้ยก และยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 3 ถึง 5
โจทก์ร่วม จำเลยที่ 1 และที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งห้ามีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 และ 83 ให้จำคุกคนละ 6 เดือนนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ร่วมและจำเลยทั้งห้าฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์อนุญาตให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุดังฟ้อง นายอัคเรศมังกะลัง ผู้ตายมีเรื่องทะเลาะวิวาทชกต่อยกับชายหลายคนและถูกทำร้ายร่างกายจนได้รับอันตรายแก่กาย ต่อมาผู้ตายถึงแก่ความตายขณะรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลหลังเกิดเหตุประมาณ 2 เดือนมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งห้าว่า จำเลยทั้งห้าได้ร่วมกันทำร้ายผู้ตายหรือไม่ พยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมฟังได้ว่าจำเลยทั้งห้าได้ร่วมกันชกต่อยเตะทำร้ายผู้ตายจริงดังที่ศาลอุทธรณ์รับฟังมา ฎีกาของจำเลยทั้งห้าข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ส่วนที่โจทก์ร่วมฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยทั้งห้า ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 นั้น เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งห้าตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290 ซึ่งถือว่าเป็นคำฟ้องของโจทก์ร่วมด้วย โดยไม่ได้บรรยายมาในคำฟ้องเลยว่าผู้ตายได้รับอันตรายสาหัส และทางพิจารณาก็ไม่ได้ความดังกล่าวดังนั้นที่โจทก์ร่วมฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยทั้งห้าตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 297 จึงเป็นการฎีกาในข้อหาที่โจทก์ไม่ได้กล่าวมาในฟ้องทั้งเป็นเรื่องที่โจทก์ไม่ได้ประสงค์ให้ลงโทษ ศาลจะลงโทษจำเลยทั้งห้าในข้อหาดังกล่าวไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสี่ ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 2 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297เป็นการเกินคำขอหรือมิได้กล่าวในฟ้อง การที่ศาลอุทธรณ์ไม่ลงโทษจำเลยทั้งห้าตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 เพียงแต่ลงโทษจำเลยทั้งห้าตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 ประกอบด้วยมาตรา 192 วรรคท้าย ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล โจทก์ร่วมจึงไม่มีสิทธิฎีกา ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยต่อไปว่ามีเหตุสมควรรอการลงโทษจำเลยทั้งห้าหรือไม่ เห็นว่า ไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งห้าได้รับโทษจำคุกมาก่อน ไม่ปรากฏความประพฤติในทางเสื่อมเสีย ประกอบอาชีพโดยสุจริต โดยเฉพาะจำเลยที่ 1 ขณะเหตุเกิดเป็นนักศึกษาอยู่ที่วิทยาลัยครูสมเด็จเจ้าพระยา เหตุที่เกิดขึ้นเนื่องจากผู้ตายซึ่งเมาสุราแล้วชอบอาละวาดไปหาเรื่องจำเลยทั้งห้า บาดแผลที่เกิดขึ้นตามที่นางสาวฟูรอเบิกความขณะเกิดก็มีเพียงตาข้างซ้ายปิดและมีบาดแผลเหนือคิ้วเท่านั้น จำเลยทั้งห้าเพียงแต่เตะต่อยผู้ตายเท่านั้น ซึ่งพฤติการณ์ก็ไม่ร้ายแรง แม้ว่าจำเลยที่ 2จะจับศีรษะผู้ตายโขกกับพื้นก็ไม่ปรากฏว่ารุนแรงเพียงใดและมีบาดแผลร้ายแรงเกิดขึ้น ตามที่นางสาวฟูรอเบิกความ อีกทั้งหลังเกิดเหตุจำเลยที่ 3 จะนำตัวผู้ตายส่งโรงพยาบาลด้วย แต่ผู้ตายไม่ยอมไป แสดงว่าจำเลยทั้งห้าไม่ได้มีเจตนาคิดร้ายต่อผู้ตายเพียงแต่ผู้ตายไปอาละวาดทำให้จำเลยทั้งห้าโกรธขึ้นมาเท่านั้นและเพียงแต่เตะกับต่อยผู้ตาย พฤติการณ์แห่งคดีจึงมีเหตุสมควรที่จะรอการลงโทษจำเลยทั้งห้าไว้ แต่เพื่อให้จำเลยทั้งห้ากลับตัวและประพฤติตนเป็นพลเมืองดี จึงเห็นสมควรลงโทษปรับอีกสถานหนึ่งกับคุมความประพฤติจำเลยทั้งห้าไว้ด้วย”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ปรับจำเลยทั้งห้าคนละ 2,000 บาทอีกสถานหนึ่ง โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ให้จำเลยทั้งห้าไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติทุก 4 เดือน ภายในกำหนดระยะเวลาที่รอการลงโทษ ไม่ชำระค่าปรับให้บังคับตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 29, 30 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์