คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4579/2552

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลยที่ 1 ขอสินเชื่อเลตเตอร์ออฟเครดิตจากโจทก์ เมื่อโจทก์ชำระค่าสินค้าแก่ผู้ขายในต่างประเทศแทนจำเลยที่ 1 ไปเรียบร้อยแล้ว จำเลยที่ 1 จะต้องนำสินค้าออกไปพร้อมกับชำระค่าสินค้าให้แก่โจทก์ แต่จำเลยที่ 1 ไม่มีเงินชำระจึงทำสัญญาทรัสต์รีซีทกับโจทก์พร้อมกับออกตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อชำระหนี้ให้แก่โจทก์ด้วย จึงเห็นได้ว่าโจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 กับพวกรับผิดโดยอาศัยมูลหนี้ตามสัญญาขอเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตและสัญญาทรัสต์รีซีทเป็นหลัก จำเลยที่ 1 ออกตั๋วสัญญาใช้เงินให้แก่โจทก์จึงเป็นการประกันเพื่อการชำระหนี้ตามสัญญาทรัสต์รีซีทเท่านั้น หาใช่โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 กับพวกรับผิดตามตั๋วสัญญาใช้เงินเป็นหลักแต่เพียงอย่างเดียวไม่
แม้หนี้ตามสัญญาขอเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตและสัญญาทรัสต์รีซีทตลอดจนตามตั๋วสัญญาใช้เงินตามฟ้องจะแสดงไว้เป็นเงินต่างประเทศ แต่เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่ชำระเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงิน จำเลยที่ 1 จึงยังเป็นหนี้ต่อโจทก์ตามสัญญาทรัสต์รีซีทอยู่ ดังนั้นข้อตกลงที่ระบุไว้ในสัญญาทรัสต์รีซีทว่า จำเลยที่ 1 ยินยอมให้โจทก์มีสิทธิใช้ดุลพินิจเปลี่ยนหนี้ที่เป็นสกุลเงินต่างประเทศเป็นสกุลเงินบาทได้นับตั้งแต่วันที่จำเลยที่ 1 ตกเป็นฝ่ายผิดนัดจึงมีผลใช้บังคับ ดังนั้น โจทก์จึงมีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยดังกล่าวชำระหนี้เป็นสกุลเงินบาทได้
โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยได้ไม่เกินประกาศของธนาคารโจทก์ที่ประกาศกำหนดเอง การที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาให้จำเลยรับผิดในดอกเบี้ยหลังวันฟ้อง โดยไม่ได้กำหนดให้ไม่เกินอัตราสูงสุดตามประกาศธนาคารโจทก์นั้น จึงไม่ถูกต้อง ปัญหานี้ที่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยจะไม่ได้อุทธรณ์ ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศมีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้
เนื่องจากหนี้ตามคำพิพากษาในคดีนี้เป็นการชำระหนี้ไม่อาจแบ่งแยกได้ และเป็นกรณีที่ต้องพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางในส่วนดอกเบี้ยดังได้กล่าวแล้วข้างต้น จึงสมควรให้คำพิพากษานี้มีผลไปถึงจำเลยที่ไม่ได้อุทธรณ์ด้วย ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ.2539 มาตรา 45 ประกอบ ป.วิ.พ. มาตรา 245 (1)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้จำเลยทั้งเจ็ดร่วมกันชำระเงินจำนวน 4,936,652.72 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 17.5 ต่อปี ของต้นเงิน 3,503,673.28 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จ หากจำเลยทั้งเจ็ดไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์ หากได้เงินไม่พอให้ยึดทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 และทรัพย์สินอื่นในกองมรดกของนางสุทธิลักษณ์ ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์จนครบถ้วน
จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 5 ถึงที่ 7 ให้การขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 3 และที่ 4 ขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ร่วมกันชำระเงินให้แก่โจทก์จำนวน 3,503,673.28 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 17 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 1,048,318.36 บาท นับตั้งแต่วันที่ 10 มีนาคม 2541 ถึงวันที่ 18 มีนาคม 2541 อัตราร้อยละ 17 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 2,813,375.57 บาท นับตั้งแต่วันที่ 19 มีนาคม 2541 ถึงวันที่ 3 พฤษภาคม 2541 อัตราร้อยละ 17 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 3,456,000.41 บาท นับตั้งแต่วันที่ 4 พฤษภาคม 2541 ถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2541 และอัตราร้อยละ 14.5 ต่อปีของต้นเงินจำนวน 3,456,000.41 บาท นับตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2541 เป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จ แต่ทั้งนี้ดอกเบี้ยจนถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน 1,432,979.44 บาท กับให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 15,000 บาท และให้จำเลยที่ 5 ถึงที่ 7 ในฐานะทายาทของนางสุทธิลักษณ์ ร่วมกับจำเลยที่ 1 ชำระหนี้ดังกล่าวข้างต้นแก่โจทก์ แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกินทรัพย์มรดกที่แต่ละคนได้รับ หากจำเลยทั้งเจ็ดไม่ชำระหนี้ให้ครบถ้วน ให้ยึดทรัพย์จำนองที่ดินที่ดินโฉนดเลขที่ 144747 ตำบลสายไหม (คลองหกวาสายล่างฝั่งใต้) อำเภอบางเขน จังหวัดกรุงเทพมหานคร และที่ดินโฉนดเลขที่ 50128, 50130 ตำบลฉิมพลี (บางระมาด) อำเภอตลิ่งชัน จังหวัดกรุงเทพมหานคร พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์ หากได้เงินไม่พอให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ออกขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้ให้แก่โจทก์จนครบถ้วน
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 5 ที่ 6 และที่ 7 อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 5 ถึงที่ 7 ประการแรกว่า จำเลยทั้งเจ็ดจะต้องรับผิดต่อโจทก์หรือไม่เพียงใด จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 5 ถึงที่ 7 อุทธรณ์ว่า ฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องให้จำเลยชำระหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงิน มิใช่ฟ้องโดยอาศัยมูลหนี้ตามสัญญาเลตเตอร์ออฟเครดิตกับสัญญาทรัสต์รีซีท ในประเด็นข้อนี้โจทก์มีนายประเทือง นางสาวรัชดา และนางณัฐวดี เบิกความประกอบเอกสารคำขอเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิต สัญญาทรัสต์รีซีทและตั๋วสัญญาใช้เงินฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 ขอเปิดใช้วงเงินสินเชื่อเพื่อเลตเตอร์ออฟเครดิตต่อโจทก์รวม 3 ครั้ง เพื่อชำระค่าสินค้าให้แก่ผู้ขายต่างประเทศ ต่อมาจำเลยที่ 1 ทำสัญญาทรัสต์รีซีทไว้ต่อโจทก์เพื่อรับสินค้าออกไปจำหน่ายก่อนชำระเงินรวม 4 ครั้ง แต่ละครั้งจำเลยที่ 1 ออกตั๋วสัญญาใช้เงินมอบให้แก่โจทก์เป็นประกันการชำระหนี้ เมื่อครบกำหนดชำระเงินตามสัญญา ทรัสต์รีซีทแต่ละฉบับจำเลยที่ 1 ผิดนัดไม่ชำระเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินให้แก่โจทก์ จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 5 ถึงที่ 7 ให้การและนำสืบรับว่า จำเลยที่ 1 ได้ขอเปิดใช้วงเงินสินเชื่อเลตเตอร์ออฟเครดิตและทำสัญญาทรัสต์รีซีทพร้อมออกตั๋วสัญญาใช้เงินตามฟ้องแก่โจทก์จริง เห็นว่า นับแต่จำเลยที่ 1 ขอสินเชื่อเลตเตอร์ออฟเครดิตจากโจทก์ เมื่อโจทก์ชำระค่าสินค้าแก่ผู้ขายในต่างประเทศแทนจำเลยที่ 1 ไปเรียบร้อยแล้ว จำเลยที่ 1 จะต้องนำสินค้าออกไปพร้อมกับชำระค่าสินค้าให้แก่โจทก์ แต่จำเลยที่ 1 ไม่มีเงินชำระจึงทำสัญญาทรัสต์รีซีทกับโจทก์พร้อมกับออกตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อชำระหนี้ให้แก่โจทก์ด้วย จึงเห็นได้ว่าโจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 กับพวกรับผิดโดยอาศัยมูลหนี้ตามสัญญาขอเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตและสัญญาทรัสต์รีซีทเป็นหลัก จำเลยที่ 1 ออกตั๋วสัญญาใช้เงินให้แก่โจทก์จึงเป็นการประกันเพื่อการชำระหนี้ตามสัญญาทรัสต์รีซีทเท่านั้น หาใช่โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 กับพวกรับผิดตามตั๋วสัญญาใช้เงินเป็นหลักแต่เพียงอย่างเดียวไม่ อุทธรณ์ข้อนี้ของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 5 ถึงที่ 7 ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาจะต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 5 ถึงที่ 7 ต่อไปว่า โจทก์ใช้สิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้เป็นสกุลเงินบาทได้หรือไม่ จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 5 ถึงที่ 7 อุทธรณ์อ้างว่าโจทก์ต้องฟ้องให้จำเลยชำระหนี้เป็นเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐตามที่ระบุไว้ในตั๋วสัญญาใช้เงิน ทั้งตั๋วสัญญาใช้เงินมิได้มีข้อความใดระบุให้โจทก์สามารถใช้ดุลพินิจเปลี่ยนแปลงเงินจากตั๋วสัญญาใช้เงินจากสกุลดอลลาร์-สหรัฐเป็นสกุลเงินบาทไทยได้แต่ประการใด โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้เป็นสกุลเงินบาทโดยอาศัยสัญญาทรัสต์รีซีทได้นั้น เห็นว่า โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 รับผิดในมูลหนี้ตามสัญญาขอเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตและสัญญาทรัสต์รีซีทโดยเมื่อจำเลยที่ 1 ทำสัญญาทรัสต์รีซีทกับโจทก์ จำเลยที่ 1 ได้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินให้แก่โจทก์ไว้ ซึ่งเป็นการออกตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อชำระหนี้ตามสัญญาทรัสต์รีซีท เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่ชำระเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงิน จำเลยที่ 1 จึงยังเป็นหนี้ต่อโจทก์ตามสัญญาทรัสต์รีซีทอยู่ ดังนั้นข้อตกลงที่จะระบุไว้ในสัญญาทรัสต์รีซีทจึงมีผลใช้บังคับ และตามสัญญาทรัสต์รีซีท ข้อ 7.2 ได้ระบุว่า จำเลยที่ 1 ยินยอมให้โจทก์มีสิทธิใช้ดุลพินิจเปลี่ยนหนี้ที่เป็นสกุลเงินต่างประเทศเป็นสกุลเงินบาทได้นับตั้งแต่วันที่จำเลยที่ 1 ตกเป็นฝ่ายผิดนัด ดังนั้นโจทก์จึงมีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยดังกล่าวชำระหนี้เป็นสกุลเงินบาทได้ แม้หนี้ตามสัญญาขอเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตและสัญญาทรัสต์รีซีทตลอดจนตามตั๋วสัญญาใช้เงินตามฟ้องจะแสดงไว้เป็นเงินต่างประเทศก็ตาม อุทธรณ์ข้อนี้ของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 5 ถึงที่ 7 ฟังไม่ขึ้น…
อนึ่ง โจทก์เป็นสถาบันการเงินตามพระราชบัญญัติดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมของสถาบันการเงิน พ.ศ.2523 มาตรา 3 (4) ประกอบกับประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การกำหนดสถาบันการเงินและอัตราดอกเบี้ยที่สถาบันการเงินอาจคิดได้จากผู้กู้ยืม (ฉบับที่ 6) พ.ศ.2537 ข้อ 1 และตามมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวให้อำนาจรัฐมนตรีกำหนดอัตราดอกเบี้ยสำหรับสถาบันการเงินบางประเภทหรือทุกประเภทโดยกำหนดเป็นอัตราสูงสุดหรืออัตราที่อ้างอิงในลักษณะอื่นก็ได้ และจะกำหนดเงื่อนไขให้สถาบันการเงินต้องปฏิบัติด้วยก็ได้ สำหรับธนาคารโจทก์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้ออกประกาศกระทรวงการคลังฉบับดังกล่าวข้างต้น กำหนดการคิดดอกเบี้ยของธนาคารโจทก์ไว้ในข้อ 2 โดยกำหนดว่า อัตราสูงสุดของดอกเบี้ยที่ธนาคารโจทก์อาจคิดจากผู้กู้ยืมหรือคิดให้ผู้กู้ยืมได้ไม่เกินอัตราที่ธนาคารโจทก์กำหนด ซึ่งหมายความว่า โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยได้ไม่เกินประกาศของธนาคารโจทก์ที่ประกาศกำหนดเอง และโจทก์ได้ประกาศกำหนดอัตราดอกเบี้ยเปลี่ยนแปลงไปในแต่ละช่วงเวลา ดังเช่นปรากฏในประกาศธนาคารโจทก์ ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาให้จำเลยทั้งเจ็ดร่วมกันรับผิดต่อโจทก์ในดอกเบี้ยหลังวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 5 กรกฎาคม 2543) ในอัตราร้อยละ 14.5 ต่อปี จนกว่าจะชำระเสร็จนั้น โดยไม่ได้กำหนดให้ไม่เกินอัตราสูงสุดตามประกาศธนาคารโจทก์นั้น จึงไม่ถูกต้อง ปัญหานี้ที่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 5 ถึงที่ 7 จะไม่ได้อุทธรณ์ ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศมีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้
นอกจากนี้ เนื่องจากหนี้ตามคำพิพากษาในคดีนี้เป็นการชำระหนี้ไม่อาจแบ่งแยกได้ และเป็นกรณีที่ต้องพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางในส่วนดอกเบี้ยดังได้กล่าวแล้วข้างต้น จึงสมควรให้คำพิพากษานี้มีผลไปถึงจำเลยที่ 3 และที่ 4 ซึ่งไม่ได้อุทธรณ์ด้วย ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ.2539 มาตรา 45 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 245 (1)
พิพากษาแก้เป็นว่า สำหรับดอกเบี้ยนับแต่วันถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 5 กรกฎาคม 2543) ที่จำเลยทั้งเจ็ดต้องร่วมกันรับผิดต่อโจทก์นั้นต้องไม่เกินอัตราสูงสุดตามประกาศธนาคารโจทก์ฉบับต่าง ๆ ที่มีผลบังคับในแต่ละช่วงเวลาหลังวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จสิ้น นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง ให้จำเลยที่ 1 ที่ 2และที่ 5 ถึงที่ 7 ใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์จำนวน 10,000 บาท แทนโจทก์

Share