แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
จำเลยให้การต่อสู้คดีเพียงว่า ฟ. ไม่ใช่กรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ การมอบอำนาจตามหนังสือมอบอำนาจมิได้กระทำโดยถูกต้องตามข้อกำหนดและเงื่อนไขแห่งหนังสือรับรองการจดทะเบียนของโจทก์ คำให้การของจำเลยไม่ชัดแจ้งว่า หนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีของโจทก์ไม่ถูกต้องอย่างไร เมื่อโจทก์มีหนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีที่โนตารีปับลิกลงนามเป็นพยาน และมีเอกสารรายงานการประชุมคณะกรรมการโจทก์พร้อมคำแปลมาแสดงว่า ฟ. ได้รับแต่งตั้งให้เป็นกรรมการรับผิดชอบต่อการบริหารกิจการทั้งหมดของโจทก์และมีอำนาจทำการแทน จึงฟังได้แล้วว่า ฟ. เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์และมอบอำนาจให้ฟ้องคดีนี้จริง
พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้าฯ มาตรา 65 บัญญัติว่า เมื่อคณะกรรมการเครื่องหมายการค้ามีคำสั่งเพิกถอนหรือไม่เพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าตามมาตรา 63 ผู้ร้องขอให้เพิกถอนหรือเจ้าของเครื่องหมายการค้ามีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งของคณะกรรมการต่อศาลภายในเก้าสิบวัน ซึ่งตามมาตรา 80 ให้นำบทบัญญัติเกี่ยวกับเครื่องหมายการค้ามาใช้บังคับแก่เครื่องหมายบริการโดยอนุโลม แม้กฎหมายจะไม่ได้กำหนดให้อุทธรณ์โดยฟ้องผู้ใดเป็นจำเลยก็ตาม แต่เห็นได้ว่าผู้ที่ออกคำสั่งเพิกถอนเครื่องหมายบริการของโจทก์คือคณะกรรมการเครื่องหมายการค้า โจทก์จึงต้องฟ้องคณะกรรมการเครื่องหมายการค้า และตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์เอง โจทก์มีคำขอบังคับขอให้ศาลพิพากษายกคำสั่งของคณะกรรมการเครื่องหมายการค้าซึ่งเป็นคำขอบังคับฝ่ายบริหารอยู่แล้ว ดังนั้น การที่โจทก์ไม่ฟ้องคณะกรรมการเครื่องหมายการค้าแต่มาฟ้องจำเลยจึงไม่ถูกต้อง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้อง ขอให้เพิกถอนคำสั่งคณะกรรมการเครื่องหมายการค้าที่ให้เพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมายบริการที่โจทก์ได้จดทะเบียนไว้
จำเลยให้การว่า นายฟรองซัวส์ มิใช่กรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ การมอบอำนาจให้ฟ้องคดีนี้มิได้กระทำถูกต้องตามข้อกำหนดและเงื่อนไขหนังสือรับรองการจดทะเบียนของโจทก์ หนังสือมอบอำนาจมิได้ระบุให้ผู้รับมอบอำนาจมีอำนาจแต่งตั้งทนายความ คำสั่งของคณะกรรมการเครื่องหมายการค้าที่เพิกถอนเครื่องหมายบริการของโจทก์เป็นไปโดยชอบและเป็นเรื่องระหว่างคณะกรรมการเครื่องหมายการค้ากับโจทก์ การมีคำสั่งเพิกถอนเครื่องหมายบริการเป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการเครื่องหมายการค้า ไม่เกี่ยวข้องกับจำเลย ซึ่งถ้าศาลมีคำพิพากษาก็ไม่มีผลผูกพันคณะกรรมการเครื่องหมายการค้าซึ่งเป็นบุคคลภายนอก โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ วินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยประการแรกว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางวินิจฉัยว่า หนังสือมอบอำนาจไม่มีข้อความใดที่โนตารีปับลิกได้รับรองอำนาจของนายฟรองซัวส์ ว่ามีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ โนตารีปับลิกคงรับรองเพียงลายมือชื่อว่าเป็นลายมือชื่อของนายฟรองซัวส์ เท่านั้น โจทก์มีภาระต้องพิสูจน์ให้ได้ความชัดว่าใครเป็นผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ แต่โจทก์หาได้กระทำไม่ ทั้งหลักฐานการประชุมผู้ถือหุ้นโจทก์และการจดทะเบียนกรรมการล้วนเกิดขึ้นในประเทศฝรั่งเศส โจทก์สามารถแสวงหามาแสดงต่อศาลได้ง่าย จึงเห็นว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง นั้น ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศไม่เห็นพ้องด้วยกับคำวินิจฉัยดังกล่าวเพราะคดีนี้จำเลยให้การต่อสู้คดีเพียงว่า นายฟรองซัวส์ ไม่ใช่กรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ การมอบอำนาจตามหนังสือมอบอำนาจมิได้กระทำโดยถูกต้องตามข้อกำหนดและเงื่อนไขแห่งหนังสือรับรองการจดทะเบียนของโจทก์ คำให้การของจำเลยไม่ชัดแจ้งว่าหนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีของโจทก์ไม่ถูกต้องอย่างไร เมื่อโจทก์มีหนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีที่โนตารีปับลิกลงนามเป็นพยานและมีเอกสารรายงานการประชุมคณะกรรมการโจทก์พร้อมคำแปลมาแสดงว่า นายฟรองซัวส์ ได้รับแต่งตั้งให้เป็นกรรมการรับผิดชอบต่อการบริหารกิจการทั้งหมดของโจทก์ มีอำนาจทำการแทน จึงฟังได้แล้วว่านายฟรองซัวส์ เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์และมอบอำนาจให้ฟ้องคดีนี้จริง ส่วนปัญหาว่าการที่โจทก์ฟ้องจำเลยโดยไม่ฟ้องคณะกรรมการเครื่องหมายการค้าผู้มีคำสั่งให้เพิกถอนเครื่องหมายบริการของโจทก์ถูกต้องหรือไม่ โจทก์อุทธรณ์ว่าการที่โจทก์นำคดีมาสู่ศาลเป็นการกระทำโดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ.2534 มาตรา 65 การฟ้องคดีมีลักษณะเป็นการอุทธรณ์คัดค้านการพิจารณาวินิจฉัยคำร้องของฝ่ายบริหาร เป็นกรณีที่โจทก์มีอำนาจทำได้โดยไม่จำต้องฟ้องฝ่ายบริหารเข้ามาในคดี นั้น พระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ.2534 มาตรา 65 บัญญัติว่า เมื่อคณะกรรมการเครื่องหมายการค้ามีคำสั่งเพิกถอนหรือไม่เพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าตามมาตรา 63 ผู้ร้องขอให้เพิกถอนหรือเจ้าของเครื่องหมายการค้ามีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งของคณะกรรมการต่อศาลภายในเก้าสิบวันซึ่งตามมาตรา 80 ให้นำบทบัญญัติเกี่ยวกับเครื่องหมายการค้ามาใช้บังคับแก่เครื่องหมายบริการโดยอนุโลม ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ เห็นว่า แม้กฎหมายจะไม่ได้กำหนดให้อุทธรณ์โดยฟ้องผู้ใดเป็นจำเลยก็ตาม แต่เห็นได้ว่าผู้ที่ออกคำสั่งเพิกถอนเครื่องหมายบริการของโจทก์คือคณะกรรมการเครื่องหมายการค้า ดังนั้น โจทก์จึงต้องฟ้องคณะกรรมการเครื่องหมายการค้า ส่วนที่โจทก์อุทธรณ์ว่า การฟ้องคดีของโจทก์ไม่มีกรณีต้องบังคับให้ฝ่ายบริหารไปกระทำการใดๆ หากศาลพิพากษายกหรือให้เพิกถอน คำสั่งคณะกรรมการเครื่องหมายการค้าย่อมสิ้นผลไปตามกฎหมาย ซึ่งมีผลเท่ากับให้ยกคำร้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าที่ยื่นคำขอโดยจำเลย นั้น เห็นว่า ตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์เอง โจทก์มีคำขอบังคับขอให้ศาลพิพากษายกคำสั่งของคณะกรรมการเครื่องหมายการค้าที่ 10/2545 ซึ่งเป็นคำขอบังคับฝ่ายบริหารอยู่แล้ว ดังนั้น การที่โจทก์ไม่ฟ้องคณะกรรมการเครื่องหมายการค้าแต่มาฟ้องจำเลยจึงไม่ถูกต้อง ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางวินิจฉัยว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องนั้น ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศเห็นพ้องด้วยในผล อุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น และเมื่อวินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยเสียแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ข้ออื่นก็ไม่จำต้องวินิจฉัยอีกต่อไปเพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง”
พิพากษายืน