แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
จำเลยอุทธรณ์อ้างว่า มูลหนี้ที่โจทก์รับโอนสิทธิเรียกร้องนำมาฟ้องจำเลยให้ล้มละลายเป็นหนี้ตามคำพิพากษาของศาลแพ่งซึ่งพิพากษาให้ธนาคารเจ้าหนี้เดิมคิดดอกเบี้ยได้ในอัตราร้อยละ 18.5 ต่อปี แต่ต้องไม่เกินกว่าอัตราสูงสุดที่ธนาคารเจ้าหนี้เดิมมีสิทธิคิดได้ ต่อมาได้มีประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยและประกาศของธนาคารเจ้าหนี้เดิมเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยสูงสุดหลายครั้งโดยมีอัตราต่ำกว่าร้อยละ 18.5 ต่อปี โจทก์คิดดอกเบี้ยไม่ถูกต้อง มูลหนี้ตามฟ้องมีจำนวนไม่แน่นอน กรณีจึงมีเหตุอื่นที่ไม่ควรให้จำเลยล้มละลายนั้น ในชั้นพิจารณาจำเลยไม่ยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ข้อเท็จจริงที่จำเลยอ้างว่าได้มีประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยและประกาศของธนาคารเจ้าหนี้เดิมเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยสูงสุดหลายครั้งหลังจากศาลแพ่งมีคำพิพากษาก็เพิ่งปรากฏในอุทธรณ์ของจำเลยเท่านั้น ดังนั้น มูลหนี้ตามคำพิพากษาคดีแพ่งที่โจทก์นำมาฟ้องเป็นหนี้เงินสามารถกำหนดจำนวนได้โดยแน่นอนแล้วทั้งกรณีไม่มีเหตุอื่นที่ไม่ควรให้จำเลยล้มละลาย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดและพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย
จำเลยไม่ยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 14
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเป็นยุติตามคำสั่งศาลล้มละลายกลาง โดยจำเลยไม่อุทธรณ์โต้แย้งฟ้องได้ว่า จำเลยเป็นหนี้โจทก์ (ผู้รับโอนหนี้ของจำเลยมาจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) คิดถึงวันฟ้องเป็นจำนวนไม่น้อยกว่า 1,000,000 บาท และจำเลยต้องด้วยข้อสันนิษฐานว่าเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัวตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 8 (5) ที่จำเลยอุทธรณ์ทำนองว่า ตามคำพิพากษาศาลแพ่งคดีหมายเลขแดงที่ 21234/2541 ซึ่งพิพากษาให้ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) คิดดอกเบี้ยในหนี้ตามคำพิพากษาได้ในอัตราร้อยละ 18.5 ต่อปี แต่ต้องไม่เกินกว่าอัตราสูงสุดที่ธนาคารดังกล่าวมีสิทธิคิดได้ภายใต้ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยและประกาศของธนาคารดังกล่าว ซึ่งหลังจากศาลแพ่งมีคำพิพากษาดังกล่าวแล้ว ธนาคารแห่งประเทศไทยและธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ได้มีประกาศเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยสูงสุดที่จะเรียกจากลูกค้าหลายครั้งโดยมีอัตราต่ำกว่าร้อยละ 18.5 ต่อปี เป็นจำนวนมาก การที่โจทก์คิดดอกเบี้ยจากยอดหนี้ตามคำพิพากษาคดีแพ่งดังกล่าวในอัตราร้อยละ 18.5 ต่อปี ตลอดมาจึงไม่ถูกต้อง มูลหนี้ที่โจทก์นำมาฟ้องยังเป็นจำนวนที่ไม่แน่นอน กรณีจึงมีเหตุที่ไม่ควรให้จำเลยล้มละลายนั้น เห็นว่า ในชั้นพิจารณาของศาลล้มละลายกลางจำเลยไม่ยื่นคำให้การสู้คดีและขาดนัดพิจารณา ทั้งข้อเท็จจริงที่จำเลยอ้างว่าธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) มีประกาศลดอัตราดอกเบี้ยสูงสุดที่จะเรียกจากลูกค้าหลายครั้ง และมีอัตราต่ำกว่าร้อยละ 18.5 ต่อปี นั้น ก็เพิ่งปรากฏในอุทธรณ์ของจำเลยเท่านั้น หาได้มีอยู่ในสำนวนไม่ ข้ออ้างในอุทธรณ์ของจำเลยจึงไม่มีน้ำหนักควรแก่การรับฟัง ทั้งมูลหนี้ตามคำพิพากษาคดีแพ่งดังกล่าวเป็นหนี้เงิน สามารถกำหนดจำนวนได้โดยแน่นอน ดังนั้น มูลหนี้ที่โจทก์ฟ้องจึงเป็นหนี้ที่กำหนดได้โดยแน่นอนแล้ว ทั้งกรณีไม่มีเหตุอื่นที่ไม่ควรให้จำเลยล้มละลาย ที่ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดนั้นชอบแล้ว อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน