คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8425/2550

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

การจ่ายเงินค่าทดแทนการใช้ที่ดิน พ.ร.บ.การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยฯ มาตรา 30 บัญญัติไว้เพียงว่า ให้จำเลยจ่ายเงินค่าทดแทนตามความเป็นธรรมแก่เจ้าของหรือผู้ครอบครองทรัพย์สิน
แต่มิได้บัญญัติถึงรายละเอียดของหลักเกณฑ์ที่จะให้นำมาใช้ในการกำหนดและจ่ายเงินค่าทดแทนอย่างเป็นธรรมไว้เหมือนอย่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ฯ มาตรา 21 วรรคหนึ่ง ที่บัญญัติหลักเกณฑ์ไว้ว่าให้กำหนดโดยคำนึงถึง (1) ถึง (5) แต่โดยที่ พ.ร.บ. ทั้งสองฉบับดังกล่าวต่างมีเจตนารมณ์ที่จะจ่ายเงินค่าทดแทนที่เป็นธรรมให้แก่เจ้าของหรือผู้ครอบครองทรัพย์สินเช่นเดียวกัน ดังนั้น การที่จะกำหนดและจ่ายเงินค่าทดแทนการใช้ที่ดินตามความเป็นธรรมตาม พ.ร.บ.การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยฯ มาตรา 30 ก็ควรคำนึงถึงหลักเกณฑ์ทำนองเดียวกับที่บัญญัติไว้ใน พ.ร.บ.ว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ฯ มาตรา 21 วรรคหนึ่ง (1) ถึง (5) เพื่อใช้เป็นฐานในการกำหนดเงินค่าทดแทนการใช้ที่ดินแก่เจ้าของหรือผู้ครอบครองทรัพย์สิน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินค่าทดแทนการใช้ที่ดินเพิ่มพร้อมดอกเบี้ยจำนวน 952,827.35 บาท และดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 886,690 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า ที่ดินยังคงเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ จำเลยจึงกำหนดเงินค่าทดแทนการใช้ที่ดินให้เป็นที่ดินประเภทที่บ้านในอัตราร้อยละ 90 ของราคาที่กำหนดที่ดินของโจทก์ทั้งสองแปลงจึงมีราคาค่าทดแทนการใช้ที่ดินตารางวาละ 2,700 บาท ถูกแนวเขตเดินสายส่งไฟฟ้าของจำเลยพาดผ่านเป็นเนื้อที่รวม 1 งาน 67.30 ตารางวา คิดเป็นเงินค่าทดแทนการใช้ที่ดินทั้งสิ้น 451,710 บาท ซึ่งเป็นราคาที่เหมาะสมและเป็นธรรมแล้ว โจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 451,710 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดของดอกเบี้ยเงินฝากประจำของธนาคารออมสินในจำนวนเงินดังกล่าว นับแต่วันที่ 8 มิถุนายน 2542 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามคำขอของโจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 165,627 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดของดอกเบี้ยเงินฝากประเภทฝากประจำของธนาคารออมสินของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันที่ 8 มิถุนายน 2542 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติได้ว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 3222 และ 11139 ตำบลไทรน้อย อำเภอไทรน้อย จังหวัดนนทบุรี เนื้อที่ 2 งาน 15 ตารางวา และ 1 งาน 50 ตารางวา ตามลำดับ มีอาณาเขตติดต่อเป็นผืนเดียวกัน เมื่อปลายปี 2537 จำเลยได้ดำเนินการให้มีการประกาศเรื่องกำหนดเขตสำรวจสายส่งไฟฟ้าขนาด 500 กิโลโวลต์ จากสถานีไฟฟ้าย่อยราชบุรี 3 ไปยังสถานีไฟฟ้าย่อยไทรน้อย ในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2537 ต่อมาวันที่ 23 กันยายน 2539 จำเลยได้ประกาศเขตเดินสายส่งไฟฟ้าว่าแนวสายส่งไฟฟ้าดังกล่าวซึ่งได้พาดผ่านเข้าไปในเขตท้องที่อำเภอไทรน้อย จังหวัดนนทบุรี ปรากฏว่าที่ดินทั้งสองแปลงของโจทก์ดังกล่าวซึ่งเป็นที่ดินประเภทที่บ้านถูกเขตเดินสายส่งไฟฟ้าพาดผ่านบางส่วนร่วมเนื้อที่ 1 งาน 67.30 ตารางวา จำเลยได้จ่ายเงินค่าทดแทนการใช้ที่ดินให้ตารางวาละ 2,700 บาท รวมเป็นเงิน 451,710 บาท โดยใช้บัญชีกำหนดจำนวนทุนทรัพย์ในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับที่ดินของสำนักงานที่ดินจังหวัดนนทบุรีปี 2539 ถึงปี 2542 ซึ่งมีราคาตารางวาละ 2,000 บาท แล้วปรับราคาเพิ่มให้อีกอัตราร้อยละ 50 ของทุกหน่วยราคาเป็นหลักเกณฑ์ในการคำนวณเงินค่าทดแทนการใช้ที่ดิน ที่ดินทั้งสองแปลงของโจทก์จึงมีราคาตารางวาละ 3,000 บาท แต่เนื่องจากการเดินสายส่งไฟฟ้าพาดผ่านที่ดินของโจทก์มีลักษณะเป็นการเข้าไปใช้ประโยชน์ในที่ดิน มิได้มีการโอนกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในที่ดินส่วนดังกล่าวแต่อย่างใด ที่ดินทั้งสองแปลงยังเป็นของโจทก์อยู่ จำเลยจึงกำหนดเงินค่าทดแทนการใช้ที่ดินให้อัตราร้อยละ 90 ของราคาที่กำหนด โจทก์จึงได้รับเงินค่าทดแทนการใช้ที่ดินทั้งสองแปลงตารางวาละ 2,700 บาท ซึ่งโจทก์เห็นว่าราคาต่ำไม่เป็นธรรมกับโจทก์เพราะที่ดินมีราคาซื้อขายกันตามปกติในท้องตลาดตารางวาละ 8,000 จึงอุทธรณ์ต่อจำเลย จำเลยยืนยันคำสั่งเดิมและนำเงินไปฝากธนาคาร เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2542 โจทก์ได้รับเงินค่าทดแทนการใช้ที่ดินจำนวน 451,710 บาท ไปแล้วและยื่นฟ้องเป็นคดีนี้ขอให้จำเลยชำระเงินค่าทดแทนการใช้ที่ดินในราคาตารางวาละ 8,000 บาท ศาลชั้นต้นกำหนดเงินค่าทดแทนการใช้ที่ดินให้แก่โจทก์ตารางวาละ 6,000 บาท โดยจ่ายให้ในอัตราร้อยละ 90 ของราคาที่กำหนดดังกล่าว จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้ให้กำหนดค่าทดแทนการใช้ที่ดินแก่โจทก์ราคาตารางวาละ 4,100 บาท โดยจ่ายให้ในอัตราร้อยละ 90 ของราคาที่กำหนดดังกล่าว โจทก์ฎีกาขอให้เพิ่มเงินค่าทดแทนการใช้ที่ดินเป็นตารางวาละ 6,000 บาท จึงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์ควรได้รับเงินค่าทดแทนการใช้ที่ดินเพิ่มจากที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาหรือไม่ เพียงใด เห็นว่า การจ่ายเงินค่าทดแทนการใช้ที่ดิน พระราชบัญญัติการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย พ.ศ.2511 มาตรา 30 บัญญัติไว้เพียงว่าให้จำเลยจ่ายเงินค่าทดแทนตามความเป็นธรรมแก่เจ้าของหรือผู้ครอบครองทรัพย์สินแต่มิได้บัญญัติถึงรายละเอียดของหลักเกณฑ์ที่จะให้นำมาใช้ในการกำหนดและจ่ายเงินค่าทดแทนอย่างเป็นธรรมไว้เหมือนอย่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ.2530 มาตรา 21 วรรคหนึ่ง ที่บัญญัติหลักเกณฑ์ไว้ว่าให้กำหนดโดยคำนึงถึง (1) ถึง (5) แต่โดยที่พระราชบัญญัติทั้งสองฉบับดังกล่าวต่างมีเจตนารมณ์ที่จะจ่ายเงินค่าทดแทนที่เป็นธรรมให้แก่เจ้าของหรือผู้ครอบครองทรัพย์สินเช่นเดียวกัน ดังนั้น การที่จะกำหนดและจ่ายเงินค่าทดแทนการใช้ที่ดินตามความเป็นธรรมตามพระราชบัญญัติการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย พ.ศ.2511 มาตรา 30 ก็ควรคำนึงถึงหลักเกณฑ์ทำนองเดียวกับที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ.2530 มาตรา 21 วรรคหนึ่ง (1) ถึง (5) เพื่อใช้เป็นฐานในการกำหนดเงินค่าทดแทนการใช้ที่ดินแก่เจ้าของหรือผู้ครอบครองทรัพย์สิน… ศาลฎีกาเห็นว่า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ใช้อัตราที่ดินตารางวาละ 4,100 บาท มาเป็นฐานในการคำนวณกำหนดเงินค่าทดแทนการใช้ที่ดินให้แก่โจทก์ โดยให้ได้รับในอัตราร้อยละ 90 ของราคาที่กำหนดดังกล่าว คิดเป็นตารางวาละ 3,690 บาท ของที่ดินเนื้อที่ 1 งาน 67.30 ตารางวา เป็นเงิน 617,337 บาท โดยจำเลยต้องชำระเงินให้โจทก์อีก 165,627 บาท นั้น นับว่าเป็นธรรมแก่โจทก์แล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น…”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดของดอกเบี้ยเงินฝากประเภทฝากประจำของธนาคารออมสิน แต่ไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามคำขอของโจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1

Share