แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
คำสั่งศาลภาษีอากรกลางที่ให้เรียกพยานเอกสารเข้ามาสู่สำนวนความหลังเสร็จสิ้นการสืบพยาน เป็นพยานหลักฐานอันเกี่ยวกับประเด็นในคดี ซึ่งจำเลยที่ 2 ขออนุญาตยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมไว้แล้ว แต่ศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งไม่อนุญาตภายหลังศาลภาษีอากรกลางกลับเห็นว่า เอกสารเหล่านี้เป็นประโยชน์ในการพิจารณาพิพากษาคดี จึงเรียกพยานหลักฐานนั้นเข้ามาสู่สำนวนหลังเสร็จสิ้นการสืบพยานจำเลยที่ 2 ประมาณ 1 เดือน โดยไม่มีการแจ้งคำสั่งดังกล่าวให้คู่ความทั้งสองฝ่ายทราบเพื่อที่จะได้มีโอกาสเข้ามาคัดค้าน หรือโต้แย้งความถูกต้องแท้จริงแห่งเอกสารดังกล่าว แม้ต่อมามีการเลื่อนนัดฟังคำพิพากษาแต่คู่ความก็มิได้มาศาล ทั้งมิได้มีการแจ้งคำสั่งเกี่ยวกับการเรียกพยานเอกสารดังกล่าวให้คู่ความทราบอีกเช่นกัน การที่ศาลภาษีอากรกลางนำพยานเอกสารดังกล่าวมาวินิจฉัยให้โจทก์แพ้คดี จึงไม่เป็นไปเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมและไม่ชอบด้วยการพิจารณา เพราะทำให้โจทก์เสียเปรียบในการต่อสู้คดี ไม่ชอบด้วย พ.ร.บ.จัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากรฯ มาตรา 17 ประกอบ ป.วิ.พ. มาตรา 86 วรรคท้าย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระค่าปรับจำนวน 1,071,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องจำนวน 229,751.50 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 1,300,751.50 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของค่าปรับจำนวน 1,071,000 บาท นับจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2 ไม่ได้เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 ทั้งไม่เคยจัดตั้งหรือก่อตั้งจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ไม่เคยติดต่อหรือมีนิติสัมพันธ์ใดกับโจทก์ไม่เคยดำเนินธุรกิจตามที่โจทก์ฟ้อง เหตุที่จำเลยที่ 2 ถูกฟ้องเพราะจำเลยที่ 2 และนายมงคล สงวนศักดิ์ ซึ่งเป็นหุ้นส่วนในการจดทะเบียนตั้งห้างหุ้นส่วนจำกัดนั้นถูกนำบัตรประจำตัวประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้านไปจดทะเบียนตั้งห้างหุ้นส่วน จำกัด ลายมือชื่อในท้ายหนังสือรับรองและคำขออนุญาตเป็นผู้ใช้สารละลายประเภทไฮโดรคาร์บอนซึ่งได้รับการยกเว้นภาษีสรรพสามิตเพื่อนำไปใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ เอกสารท้ายฟ้องโจทก์ มิใช่ลายมือชื่อของจำเลยที่ 2 ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณาจำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องขอยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมครั้งที่ 1 ศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งไม่อนุญาต ให้ยกคำร้อง จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องขอยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมเช่นเดิมซ้ำอีกในวันนั้น ศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งไม่อนุญาต ให้ยกคำร้อง ก่อนศาลภาษีอากรกลางอ่านคำพิพากษา ศาลภาษีอากรกลางตรวจสำนวนแล้วเห็นว่ามีเอกสารบางรายการอาจเป็นประโยชน์ในการพิจารณาคดี จึงมีคำสั่งเรียกเอกสาร 4 รายการ ตามที่ปรากฏในรายงานกระบวนพิจารณามาประกอบการพิจารณาคดี
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า “เอกสารที่ศาลภาษีอากรกลางเรียกมาภายหลังนั้น เป็นพยานหลักฐานสำคัญอันเกี่ยวกับประเด็นในคดี ซึ่งจำเลยที่ 2 ขออนุญาตยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมไว้แล้ว แต่ศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งไม่อนุญาตภายหลังศาลภาษีอากรกลางเองกลับเห็นว่า เอกสารเหล่านั้นเป็นประโยชน์ในการพิจารณาพิพากษาคดี จึงเรียกพยานหลักฐานนั้นเข้ามาสู่สำนวนความหลังเสร็จสิ้นการสืบพยานจำเลยที่ 2 ประมาณ 1 เดือน โดยไม่มีการแจ้งคำสั่งดังกล่าวให้คู่ความทั้งสองฝ่ายทราบโดยเฉพาะโจทก์เพื่อที่โจทก์จะได้มีโอกาสเข้ามาคัดค้านหรือโต้แย้งความถูกต้องแท้จริงแห่งเอกสารดังกล่าว แม้ต่อมามีการเลื่อนการนัดฟังคำพิพากษาแต่คู่ความก็ไม่มาศาล ทั้งไม่ได้มีการแจ้งคำสั่งเกี่ยวกับการเรียกเอกสารดังกล่าวให้คู่ความทราบอีกเช่นกัน การที่ศาลภาษีอากรกลางนำพยานเอกสารดังกล่าวมาวินิจฉัยชี้ขาดให้โจทก์แพ้คดี จึงไม่เป็นไปเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมและไม่ชอบด้วยการพิจารณา เพราะทำให้โจทก์เสียเปรียบในการต่อสู้คดี ไม่ต้องด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ.2528 มาตรา 17 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 86 วรรคท้าย ชอบที่ศาลภาษีอากรกลางจะต้องให้โอกาสคู่ความนำสืบเกี่ยวกับเอกสารดังกล่าวให้สิ้นกระแสความเสียก่อน ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรจึงเห็นสมควรย้อนสำนวนให้ศาลภาษีอากรกลางสืบพยานเพื่อฟังข้อเท็จจริงและวินิจฉัยในประเด็นตามคำให้การของจำเลยที่ 2 ในส่วนของเอกสารที่ศาลภาษีอากรกลางเรียกเข้ามาในสำนวนความภายหลัง โดยให้โอกาสโจทก์ได้โต้แย้งคัดค้านความถูกต้องแท้จริงของเอกสารดังกล่าวก่อน ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ.2528 มาตรา 29 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243 (2)”
พิพากษายกคำพิพากษาศาลภาษีอากรกลาง ใหศาลภาษีอากรกลางดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ตามรูปคดี