คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 703/2551

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท จำเลยให้การว่า บิดาจำเลยซื้อที่ดินพิพาทให้จำเลย แม้จำเลยจะต่อสู้ด้วยว่าโจทก์ฟ้องเกิน 1 ปี นับแต่เวลาถูกรบกวนและถูกแย่งการครอบครองคำให้การของจำเลยก็ไม่ก่อให้เกิดประเด็นเรื่องแย่งการครอบครองตาม ป.พ.พ. มาตรา 1375 เพราะการแย่งการครอบครองจะมีขึ้นได้แต่เฉพาะที่ดินของผู้อื่นเท่านั้น เมื่อจำเลยมิได้ยอมรับว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์แต่จำเลยแย่งการครอบครองมา จำเลยก็ไม่อาจอ้างสิทธิตามมาตรา 1375 มาเป็นข้อตัดฟ้องได้ การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์ฟ้องคดีเกิน 1 ปี นับแต่ถูกจำเลยแย่งการครอบครองที่ดินพิพาทตาม ป.พ.พ. มาตรา 1375 วรรคสอง แล้วพิพากษายกฟ้องโดยไม่วินิจฉัยในเนื้อหาที่ว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือของจำเลย จึงเป็นการไม่ชอบ คดีมีเหตุให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาใหม่ตามรูปคดี

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสองฟ้องว่า เป็นเจ้าของผู้ครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 800 โจทก์ที่ 2 เป็นเจ้าของผู้ครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 117 จำเลยมีที่ดินติดกับที่ดินของโจทก์ทั้งสองทางด้านทิศตะวันออก เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2544 จำเลยยื่นคำขอออกโฉนดที่ดินที่อยู่ติดกับที่ดินของโจทก์ทั้งสองดังกล่าวโดยจำเลยนำรังวัดชี้แนวเขตรุกล้ำเข้ามาในที่ดินของโจทก์ โจทก์ทั้งสองเป็นผู้ครอบครองที่ดินของโจทก์ทั้งสองตลอดมา การที่จำเลยขอออกโฉนดทับที่ดินของโจทก์ทั้งสองเป็นการรบกวนสิทธิครอบครองของโจทก์ทั้งสองและเป็นการออกโฉนดโดยมิชอบ ขอให้ศาลห้ามมิให้จำเลยรบกวนการครอบครองและมิให้เข้ามาเกี่ยวข้องในที่ดินของโจทก์ทั้งสอง
จำเลยให้การว่า โจทก์ทั้งสองมิใช่เจ้าของที่ดินตามฟ้อง ที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินจำเลยตามที่หนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3) เลขที่ 7 โดยบิดาจำเลยเป็นผู้ซื้อให้จำเลย จำเลยกับบิดาเข้าครอบครองทำประโยชน์เรื่อยมา การที่จำเลยยื่นคำร้องขอออกโฉนดที่ดินไม่เป็นการรบกวนสิทธิครอบครองโจทก์ทั้งสอง จำเลยแสดงเจตนาครอบครองที่ดินพิพาทเป็นของตนเอง ซึ่งโจทก์ทั้งสองทราบการแสดงเจตนาดังกล่าวและนำเรื่องไปร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรตำบลโคกงามตั้งแต่วันที่ 3 เมษายน 2536 โจทก์ชอบที่จะฟ้องคดีเพื่อปลดเปลื้องการรบกวนและการเอาคืนซึ่งการครอบครองภายในกำหนด 1 ปี นับแต่เวลาถูกรบกวนและการแย่งการครอบครอง แต่โจทก์ทั้งสองไม่นำคดีมาฟ้องร้องภายในกำหนดตามกฎหมาย คดีจึงขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาห้ามจำเลยเข้ารบกวนการครอบครองและมิให้เข้าเกี่ยวข้องในที่ดินของโจทก์ทั้งสองในส่วนที่พิพาทต่อไป
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ทั้งสองว่า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาให้ยกฟ้องเนื่องจากโจทก์ทั้งสองมายื่นฟ้องคดีนี้เพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองเกินกำหนด 1 ปี นับแต่ถูกแย่งการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 วรรคสองนั้น เป็นการชอบหรือไม่ เห็นว่า โจทก์ทั้งสองฟ้องอ้างว่าโจทก์ทั้งสองเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท จำเลยให้การว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยโดยบิดาของจำเลยเป็นผู้ซื้อให้จำเลย แม้จำเลยจะต่อสู้ด้วยว่าโจทก์ฟ้องเกิน 1 ปี นับแต่เวลาถูกรบกวนและถูกการแย่งการครอบครองคำให้การของจำเลยดังกล่าวก็ไม่ก่อให้เกิดประเด็นเรื่องการแย่งการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 เพราะการแย่งการครอบครองจะมีขึ้นได้แต่เฉพาะที่ดินของผู้อื่นเท่านั้น เมื่อจำเลยมิได้ยอมรับว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ทั้งสองแต่จำเลยแย่งการครอบครองมา จำเลยก็ไม่อาจอ้างสิทธิตามมาตรา 1375 มาเป็นข้อตัดฟ้องได้ ฉะนั้นที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 วินิจฉัยว่า โจทก์ทั้งสองฟ้องคดีเกิน 1 ปี นับแต่ถูกจำเลยแย่งการครอบครองที่ดินพิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 วรรคสอง แล้วพิพากษายกฟ้องโดยไม่วินิจฉัยในเนื้อหาที่ว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ทั้งสองหรือของจำเลยจึงเป็นการไม่ชอบ ฎีกาของโจทก์ทั้งสองฟังขึ้น”
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาใหม่ตามรูปคดี

Share