คำวินิจฉัยที่ 28/2548

แหล่งที่มา : ส่วนเลขานุการคณะกรรมการวินิจฉัยฯ

ย่อสั้น

ไม่มีย่อสั้น

ย่อยาว

(สำเนา)

คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๒๘/๒๕๔๘

วันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๘

เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่ของรัฐละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร

ศาลปกครองกลาง
ระหว่าง
ศาลจังหวัดสมุทรปราการ

การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลปกครองกลางโดยสำนักงานศาลปกครองส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคสาม ซึ่งเป็นกรณีศาลที่รับฟ้องคดีเห็นว่าคดีไม่อยู่ในเขตอำนาจ และศาลที่ส่งความเห็นและรับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น

ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๖ นางสาวโกศล คงเจริญ ผู้ฟ้องคดี ยื่นฟ้องนายอำเภอบางบ่อ ที่ ๑ เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสมุทรปราการสาขาบางพลี ที่ ๒ สารวัตรสถานีตำรวจภูธรตำบลบางพลีน้อย ที่ ๓ ผู้ถูกฟ้องคดี ต่อศาลปกครองกลาง เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๑๖๗/๒๕๔๖ ความว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้เช่านาแปลงที่ติดกับลำรางสาธารณประโยชน์ลำชวดอยู่แหล ได้รับความเดือดร้อนเสียหายจากการที่ลำรางดังกล่าวถูกนายลี ภู่หลำ และนางประเสริฐ ภู่หลำ เจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ ๕๓๐๒ และเลขที่ ๖๙๑๗ ซึ่งอยู่แปลงตรงข้ามลำรางและแปลงข้างเคียงที่นาที่ผู้ฟ้องคดีทำนาอยู่ บุกรุกครอบครองและสร้างรั้วลวดหนามปิดกั้น ทำให้ผู้ฟ้องคดีไม่สามารถใช้ประโยชน์จากลำรางพิพาทได้ ผู้ฟ้องคดีได้ร้องเรียนขอความเป็นธรรมจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาเป็นเวลา ๔ ปีเศษ แต่ไม่มีความคืบหน้า จึงขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ยื่นเรื่องขอรังวัดที่ดินของนายลีและนางประเสริฐเพื่อกันเขตที่สาธารณประโยชน์ออกจากที่ดินของบุคคลดังกล่าวโดยเร็ว ให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ เร่งรัดการรังวัดสำรวจที่ดินราษฎรที่บุกรุกที่สาธารณประโยชน์ลำชวดอยู่แหลให้เสร็จภายในปี พ.ศ. ๒๕๔๖ ให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ เร่งรัดดำเนินคดีกับผู้บุกรุกที่สาธารณประโยชน์ให้เสร็จสิ้นภายในปี พ.ศ. ๒๕๔๖
ต่อมา วันที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๔๖ ผู้ฟ้องคดีเสนอคำฟ้องเพิ่มเติม โดยยื่นฟ้องการทางพิเศษแห่งประเทศไทย ที่ ๔ คณะอนุกรรมการอ่านภาพถ่ายทางอากาศ สำนักงานปลัดนายกรัฐมนตรีที่ ๕ ปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลบางพลีน้อย ที่ ๖ ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ ที่ ๗ ผู้ถูกฟ้องคดี ความว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ทำการก่อสร้างทางหลวงพิเศษสายกรุงเทพ-ชลบุรี ข้ามลำรางสาธารณประโยชน์ลำชวดอยู่แหลโดยไม่ก่อสร้างสะพานหรือท่อลอดเป็นเหตุให้น้ำไหลเข้านาผู้ฟ้องคดีไม่ได้อันเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๕ ถึงที่ ๗ ละเลยต่อหน้าที่ในการดูแลรักษาลำรางสาธารณประโยชน์ดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ศาลปกครองกลางมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องในส่วนของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ และที่ ๔ เนื่องจากข้อหาที่ฟ้องผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ไม่อยู่ในเขตอำนาจของศาลปกครอง และคำฟ้องในส่วนของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ เป็นคำฟ้องเพิ่มเติมที่ไม่ชอบ ศาลรับฟ้องไว้โดยผิดหลงอันเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ อนึ่ง ผู้ฟ้องคดีได้ขอถอนฟ้องผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๕ ถึงที่ ๗ เนื่องจากยื่นฟ้องโดยเข้าใจผิดว่าผู้ถูกฟ้องคดีดังกล่าวมีหน้าที่ในการดูแลรักษาที่สาธารณประโยชน์ ศาลปกครองกลางมีคำสั่งอนุญาตให้ถอนคำฟ้องและจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ
ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ให้การว่า ได้ตรวจสอบและติดตามแก้ไขปัญหาให้กับผู้ฟ้องคดีมาโดยตลอด แต่ปัญหาความล่าช้าในการดำเนินการเกี่ยวกับการบุกรุกลำรางสาธารณประโยชน์เนื่องจากแนวเขตลำรางสาธารณประโยชน์ที่ปรากฏตามระวางหลักฐานแผนที่ ร.ศ. ๑๒๕ ไม่สามารถชี้ชัดความกว้างและไม่สามารถหาข้อยุติได้ ประกอบกับเจ้าของที่ดินข้างเคียงได้รังวัดออกโฉนดที่ดินอย่างถูกต้องอ้างการครอบครองตามเนื้อที่ของตนเอง ซึ่งเป็นปัญหาทางกฎหมายที่ต้องใช้ความพยายามไกล่เกลี่ย และดำเนินการต่างๆ หลายขั้นตอนเพื่อยุติปัญหาดังกล่าว ทั้งได้ขอความอนุเคราะห์ช่างเทคนิคจากสำนักงานที่ดินจังหวัดสมุทรปราการตรวจสอบเอกสารการรังวัดออกโฉนดหลักฐานที่ดินข้างเคียงลำรางสาธารณประโยชน์ลำชวดอยู่แหลแปลงต่างๆ ที่พิพาท เพื่อให้ทราบความกว้างของลำรางสาธารณประโยชน์ดังกล่าวแล้ว อย่างไรก็ตาม ในส่วนคำขอของผู้ฟ้องคดีที่ขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ยื่นคำขอรังวัดสอบเขตที่ดินของราษฎรข้างเคียงลำรางสาธารณประโยชน์นั้น แม้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ จะมีอำนาจหน้าที่ในการดูแลรักษาที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน แต่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ไม่มีอำนาจขอรังวัดสอบเขตที่ดินของเอกชน ซึ่งเป็นกรณีที่เจ้าของที่ดินข้างเคียงลำรางสาธารณประโยชน์ทุกแปลงจะต้องยื่นคำร้องและนำหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินของตนยื่นคำขอสอบเขตหรือตรวจสอบเนื้อที่เอง ทั้งนี้ ตามหนังสือกรมที่ดินที่ มท ๐๖๑๑/ว ๑๖๕๖๒ ลงวันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๒๕
ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ให้การว่า ได้ออกโฉนดเลขที่ ๕๓๐๒ และเลขที่ ๖๙๑๗ ให้แก่นายลีและนางประเสริฐโดยชอบด้วยกฎหมาย ทั้งได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความถูกต้องตามระเบียบและกฎหมาย ต่อมาเมื่อวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๔๗ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ แจ้งว่า ได้ให้เจ้าหน้าที่ออกไปรังวัดตรวจสอบข้อเท็จจริงบริเวณที่ดินพิพาทและขึ้นรูปแผนที่จากผลการรังวัดเรียบร้อยแล้ว ส่วนกรณีจะมีการบุกรุกครอบครองที่ดินส่วนหนึ่งของลำรางสาธารณประโยชน์ลำชวดอยู่แหลหรือไม่เป็นอำนาจหน้าที่ของนายอำเภอบางบ่อผู้ดูแลรักษาที่ดินสาธารณประโยชน์
ศาลปกครองกลางเห็นว่า เหตุแห่งการฟ้องคดีนี้สืบเนื่องมาจากผู้ฟ้องคดีอ้างว่าผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๒ ละเลยต่อหน้าที่หรือปฏิบัติหน้าที่ล่าช้าเกินสมควรในการดูแลรักษาลำรางสาธารณประโยชน์ลำชวดอยู่แหล ปล่อยให้นายลีและนางประเสริฐ บุกรุกครอบครองลำรางสาธารณประโยชน์ ทำให้ผู้ฟ้องคดีได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหายจากการที่ไม่สามารถใช้ประโยชน์จากลำรางดังกล่าว เมื่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๒ ดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าวโดยการรังวัดตรวจสอบแนวเขตลำรางสาธารณประโยชน์ที่พิพาทปรากฏว่า นายลีและนางประเสริฐคัดค้านการรังวัดโดยอ้างว่าที่ดินของตน มีการรังวัดออกโฉนดเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๗ และมีตำแหน่งของหลักเขตตั้งอยู่อย่างถูกต้องแล้ว จึงเป็นการได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินอย่างถูกต้อง การที่จะวินิจฉัยว่าผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๒ ละเลยต่อหน้าที่หรือปฏิบัติหน้าที่ล่าช้าเกินสมควรตามข้อกล่าวอ้างของผู้ฟ้องคดีหรือไม่ ศาลจำต้องวินิจฉัยเสียก่อนว่าที่ดินพิพาทที่ผู้ฟ้องคดีอ้างว่านายลีและนางประเสริฐทำการบุกรุกครอบครองเป็นที่ดินส่วนหนึ่งของลำรางสาธารณประโยชน์ลำชวดอยู่แหลหรือเป็นที่ดินในกรรมสิทธิ์ของบุคคลทั้งสองอันเป็นกรณีโต้แย้งกันเกี่ยวกับสิทธิในทรัพย์สินคือที่ดิน ซึ่งศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาได้แก่ ศาลยุติธรรม ตามนัยคำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลที่ ๔/๒๕๔๕ ที่ ๒๔/๒๕๔๗ ที่ ๒๕/๒๕๔๗ และที่ ๒๖/๒๕๔๗
ศาลจังหวัดสมุทรปราการเห็นว่า ผู้ฟ้องคดีอ้างว่าผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๒ ปล่อยให้นายลีและนางประเสริฐบุกรุกครอบครองลำรางสาธารณประโยชน์ลำชวดอยู่แหลทำให้ผู้ฟ้องคดีได้รับความเสียหายจากการที่ไม่สามารถใช้ประโยชน์จากลำรางดังกล่าวได้เมื่อผู้ถูกฟ้องคดีให้การว่าได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาโดยการรังวัดตรวจสอบแนวเขตลำรางพิพาทแล้วปรากฏว่านายลีและนางประเสริฐคัดค้านการรังวัดอ้างว่าที่ดินของตนมีการออกโฉนดโดยถูกต้อง การตรวจสอบแนวเขตลำรางพิพาทมีปัญหาเพราะขณะมีการตรวจสอบที่พิพาทลำรางตื้นเขินไม่มีสภาพเป็นลำรางและที่ดินแนวเขตติดต่อกับลำรางนั้นก็มีการออกโฉนดหลายแปลงและมีข้อจำกัดทางกฎหมายที่ไม่สามารถตรวจสอบได้โดยเร็ว ในทำนองว่าผู้ถูกฟ้องคดีไม่ได้ละเลยต่อหน้าที่หรือปฏิบัติหน้าที่ล่าช้าเกินสมควร ประเด็นในคดีจึงมีว่า “ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๒ ละเลยต่อหน้าที่หรือปฏิบัติหน้าที่ล่าช้าเกินสมควรในการดูแลรักษาลำรางสาธารณประโยชน์ลำชวดอยู่แหลหรือไม่” ไม่ได้มีประเด็นโต้แย้งกันเรื่องกรรมสิทธิ์ในที่ดินหรือสิทธิในทรัพย์สิน และข้อสำคัญที่เป็นเหตุผลที่ศาลจะยกมาประกอบการวินิจฉัยคดีคือ การดำเนินการแก้ไขปัญหาของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๒ ตามที่ปรากฏในคำให้การต่างๆ นั้น ถือว่าผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๒ ละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ล่าช้าเกินสมควรตามคำฟ้องของผู้ฟ้องคดีหรือไม่ คดีนี้ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๒) บัญญัติให้เป็นอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง คดีจึงอยู่ในเขตอำนาจของศาลปกครอง

คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้เป็นคดีที่เอกชนฟ้องนายอำเภอบางบ่อที่ ๑ เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสมุทรปราการสาขาบางพลีที่ ๒ สารวัตรสถานีตำรวจภูธรตำบลบางพลีน้อยที่ ๓ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย ที่ ๔ คณะอนุกรรมการอ่านภาพถ่ายทางอากาศ สำนักงานปลัดนายกรัฐมนตรี ที่ ๕ ปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลบางพลีน้อย ที่ ๖ ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ ที่ ๗ ผู้ถูกฟ้องคดี แต่ศาลปกครองกลางมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องในส่วนของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ และที่ ๔ และผู้ฟ้องคดีขอถอนฟ้องผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๕ ถึงที่ ๗ ดังนั้น คงมีปัญหาวินิจฉัยเฉพาะในส่วนของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๒ ว่าคดีอยู่ในเขตอำนาจของศาลใด
ผู้ฟ้องคดีเป็นราษฎรหมู่ที่ ๘ ตำบลบางพลีน้อย อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ ฟ้องผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๒ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ข้อเท็จจริงตามคำฟ้องและคำให้การสรุปได้ว่า ผู้ฟ้องคดีได้รับความเดือดร้อนจากการที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๒ ละเลยต่อหน้าที่หรือปฏิบัติหน้าที่ล่าช้าเกินสมควรในการดูแลรักษาลำรางสาธารณประโยชน์ลำชวดอยู่แหล จากการที่ลำรางดังกล่าวถูกนายลี และนางประเสริฐ บุกรุกครอบครองและสร้างรั้วลวดหนามปิดกั้นลำรางสาธารณะประโยชน์ ผู้ฟ้องคดีเคยร้องเรียนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาแล้วเป็นเวลา ๔ ปีเศษ แต่ไม่มีความคืบหน้า ขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ยื่นเรื่องรังวัดเพื่อกันเขตที่สาธารณประโยชน์โดยเร็ว ให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ เร่งรัดการรังวัดสำรวจที่ดินของราษฎรที่บุกรุกที่สาธารณประโยชน์ลำชวดอยู่แหลให้แล้วเสร็จ ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ให้การว่าได้ตรวจสอบและติดตามแก้ไขปัญหาให้กับผู้ฟ้องคดีมาโดยตลอด แต่เนื่องจากตามระวางหลักฐานแผนที่ ร.ศ. ๑๒๕ ไม่สามารถชี้ชัดความกว้างของลำรางดังกล่าวได้ จึงต้องทำการพิสูจน์แนวเขตลำรางด้วยวิธีอื่น เรื่องดังกล่าวอยู่ระหว่างขั้นตอนดำเนินการตามกฎหมายของพนักงานเจ้าหน้าที่ ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ให้การว่าได้ปฏิบัติหน้าที่โดยถูกต้องตามระเบียบและกฎหมายแล้ว ดังนั้น ข้อพิพาทตามคำฟ้องและคำให้การ คดีนี้เกิดจากการที่มีผู้บุกรุกลำรางสาธารณะ ผู้ฟ้องคดีจึงร้องเรียนต่อผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองให้ดำเนินการยื่นเรื่องขอรังวัดและทำการรังวัดลำรางสาธารณประโยชน์ แต่เวลาผ่านมาแล้วกว่า ๔ ปี ก็ไม่มีความคืบหน้าแต่อย่างใด ซึ่งผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองก็ให้การว่าอยู่ในระหว่างดำเนินการ คดีจึงมีประเด็นต้องพิจารณาว่าผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองละเลยต่อหน้าที่หรือปฏิบัติหน้าที่ล่าช้าเกินสมควรในการดูแลรักษาลำรางสาธารณประโยชน์หรือไม่ โดยไม่มีประเด็นโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่ของรัฐละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควรตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๒) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่าง นางสาวโกศล คงเจริญ ผู้ฟ้องคดี นายอำเภอบางบ่อ ที่ ๑ เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสมุทรปราการสาขาบางพลี ที่ ๒ ผู้ถูกฟ้องคดี อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง

(ลงชื่อ) ศุภชัย ภู่งาม (ลงชื่อ) วิชัย วิวิตเสวี
(นายศุภชัย ภู่งาม) (นายวิชัย วิวิตเสวี)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม

(ลงชื่อ) อักขราทร จุฬารัตน (ลงชื่อ) อัครวิทย์ สุมาวงศ์
(นายอักขราทร จุฬารัตน) (นายอัครวิทย์ สุมาวงศ์)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง

(ลงชื่อ) พลโท วิรัตน์ บรรเลง (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(วิรัตน์ บรรเลง) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร

(ลงชื่อ) พรชัย รัศมีแพทย์
(นายพรชัย รัศมีแพทย์)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
??

??

??

??

Share