คำวินิจฉัยที่ 29/2548

แหล่งที่มา : ส่วนเลขานุการคณะกรรมการวินิจฉัยฯ

ย่อสั้น

ไม่มีย่อสั้น

ย่อยาว

(สำเนา)

คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๒๙/๒๕๔๘

วันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๘

เรื่อง คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน

ศาลปกครองกลาง
ระหว่าง
ศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา

การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลปกครองกลางโดยสำนักงานศาลปกครองส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้องคดีและศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น

ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๔๗ นางเสนาะ ประไพพงษ์ ผู้ฟ้องคดี ยื่นฟ้อง นายอำเภออุทัย ผู้ถูกฟ้องคดี ต่อศาลปกครองกลาง เป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๔๒๑/๒๕๔๗ ความว่า ผู้ฟ้องคดีครอบครองและใช้ประโยชน์ในที่ดินโฉนดเลขที่ ๔๖๗๗ เลขที่ดิน ๒/๒๙๔ ตำบลบ้านอ้อย อำเภออุไทยใหญ่ เมืองกรุงเก่า ออกเมื่อวันที่ ๑๙ ธันวาคม ร.ศ. ๑๒๕ โดยครอบครองต่อเนื่องมาจากบรรพบุรุษและได้ปลูกสร้างบ้านเลขที่ ๒๐/๑ ตลอดจนใช้ประโยชน์ในที่ดินแปลงดังกล่าว ต่อมาผู้ฟ้องคดีได้ปลูกสร้างเพิ่มเติมในที่ดินแปลงนี้อีก ๑ หลัง เลขที่ ๒๐/๒ และใช้ประโยชน์เป็นร้านค้าเนื่องจากอยู่ใกล้แนวถนนสายอยุธยา-อุทัย ต่อมาผู้ถูกฟ้องคดีได้แจ้งผู้ฟ้องคดีตามหนังสืออำเภออุทัย ที่ อย ๑๔๑๗/๑๒๓ ลงวันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๔๗ ว่าผู้ฟ้องคดีได้บุกรุกที่ดินสาธารณประโยชน์ปลูกสร้างบ้านและร้านค้าโดยมิได้รับอนุญาตและอาศัยอำนาจตามมาตรา ๑๒๒ แห่งพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พระพุทธศักราช ๒๔๕๗ ประกอบมาตรา ๖๒ วรรคท้าย แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ สั่งให้ผู้ฟ้องคดีรื้อถอนบ้านและร้านค้าออกจากที่ดินพิพาทภายใน ๙๐ วัน นับแต่วันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๔๗ ผู้ฟ้องคดีอุทธรณ์คำสั่ง ลงวันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๔๗ อ้างว่าบ้านและร้านค้าดังกล่าวปลูกสร้างในโฉนดที่ดินเลขที่ ๔๖๗๗ ห่างจากถนนสาธารณะประมาณ ๓ – ๔ เมตร ผู้ถูกฟ้องคดีได้แจ้งผลการพิจารณาอุทธรณ์ตามหนังสืออำเภออุทัย ด่วนที่สุด ที่ อย ๑๔๑๗/๔๔๖ ลงวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๗ ยกอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดี ผู้ฟ้องคดีเห็นว่าคำสั่งดังกล่าวของผู้ถูกฟ้องคดีไม่ชอบจึงฟ้องต่อศาลเป็นคดีนี้ ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีตามหนังสืออำเภออุทัย ที่ อย ๑๔๑๗/๑๒๓ ลงวันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๔๗
ผู้ถูกฟ้องคดีให้การปฏิเสธและให้การเพิ่มเติมว่า ราษฎรได้ร้องเรียนว่าผู้ฟ้องคดี ปลูกสร้างบ้านเลขที่ ๒๐/๒ และร้านค้ารุกล้ำที่ดินสาธารณประโยชน์ จึงแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนตรวจสอบข้อเท็จจริง และได้รับรายงานว่าบ้านของผู้ฟ้องคดีเลขที่ ๒๐/๑, ๒๐/๒ และร้านค้า ตั้งอยู่ในเขตที่สาธารณประโยชน์โดยมีหลักฐานตามระวางแผนที่ระวางเดิมตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ ราวปี ร.ศ. ๑๒๐ ประกอบกับที่ดินทั้งสองฝั่งของทางสาธารณประโยชน์ดังกล่าวเป็นโฉนดที่ดินระบุข้างเคียงเป็นทางสาธารณประโยชน์และประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน และจากบันทึกถ้อยคำของผู้ฟ้องคดีเมื่อวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๔๖ ผู้ฟ้องคดีได้ยอมรับว่าบุกรุกที่ดินสาธารณประโยชน์จริงโดยเข้าใจว่าเป็นที่ดินของบิดามารดามาแต่เดิม ปัจจุบันผู้ถูกฟ้องคดีได้แจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภออุทัยเพื่อดำเนินคดีอาญากับผู้ฟ้องคดี และขณะนี้อยู่ในระหว่างการสอบสวนของพนักงานสอบสวน นอกจากนี้ ผู้ถูกฟ้องคดีได้ยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินอันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ผู้ฟ้องคดีคัดค้านคำให้การว่า บ้านพิพาททั้งสองหลังและร้านค้าปลูกสร้างในที่ดินโฉนดเลขที่ ๔๖๗๗ เลขที่ดิน ๒/๒๙๔ มีชื่อน้องสาวของผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ถือครองกรรมสิทธิ์โดยทำการปลูกสร้างมาเป็นเวลานานหลายสิบปี ซึ่งที่ดินสาธารณประโยชน์ตามที่ผู้ถูกฟ้องคดีกล่าวอ้างและราษฎรใช้ประโยชน์ร่วมกันเป็นทางเดินบริเวณด้านข้างของบ้านเลขที่ ๒๐/๒ นอกจากนี้ยังมีที่ดินซึ่งเป็นทางสาธารณประโยชน์ที่ราษฎรใช้ประโยชน์ร่วมกันเป็นถนนลาดยางแอสฟัสท์ การที่ผู้ถูกฟ้องคดีมีคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีรื้อถอนบ้านออกจากที่ดินพิพาทดังกล่าวจึงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ศาลปกครองกลางเห็นว่า การที่ผู้ถูกฟ้องคดีจะดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อให้ได้ที่ดินกลับคืนสู่การเป็นที่สาธารณประโยชน์ตามมาตรา ๑๒๒ แห่งพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พระพุทธศักราช ๒๔๕๗ ประกอบมาตรา ๖๒ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ ผู้ถูกฟ้องคดีควรที่จะใช้ความระมัดระวังดำเนินการตรวจพิสูจน์เกี่ยวกับสิทธิในทรัพย์สินของผู้ฟ้องคดีให้เรียบร้อยเสียก่อนเพื่อไม่เป็นการกระทำอันเป็นการละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี ซึ่งการตรวจพิสูจน์สถานะของที่ดินรวมทั้งการดำเนินการเพื่อให้ มีการเพิกถอนโฉนดที่ดินพิพาทดังกล่าวเป็นการเตรียมการตามขั้นตอนเพื่อดำเนินการออกคำสั่งทางปกครองหรือการกระทำทางปกครองตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ ดังนั้น เมื่อผู้ฟ้องคดีฟ้องว่า ผู้ถูกฟ้องคดีสั่งให้ผู้ฟ้องคดีรื้อถอนบ้านและร้านค้าออกจากที่ดินพิพาทตามหนังสืออำเภออุทัย ที่ อย ๑๔๑๗/๑๒๓ ลงวันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๔๗ เป็นการกระทำโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลปกครองย่อมมีอำนาจตรวจสอบว่า ผู้ถูกฟ้องคดีได้ดำเนินการตามขั้นตอนหรือวิธีการอันเป็นสาระสำคัญที่กำหนดไว้สำหรับการกระทำนั้นหรือเป็นการใช้ดุลพินิจโดยสุจริตหรือไม่ โดยไม่มีกรณีที่ศาลจะต้องพิจารณาถึงสิทธิของผู้ฟ้องคดีในที่ดินพิพาทอันเป็นคดีเกี่ยวกับสิทธิในทรัพย์สินของบุคคลตามที่ผู้ถูกฟ้องคดีกล่าวอ้างแต่อย่างใด คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทตามมาตรา ๙ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยาเห็นว่า การที่จะพิจารณาว่าคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีชอบด้วยกฎหมายหรือไม่จะต้องพิจารณาให้ได้ความก่อนว่าที่ดินพิพาทเป็นของผู้ฟ้องคดีหรือที่สาธารณประโยชน์ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิครอบครองหรือกรรมสิทธิ์ในที่ดินเป็นสำคัญ ซึ่งตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ มิได้กำหนดให้ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีเกี่ยวกับสิทธิในทรัพย์สิน คดีจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม

คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้ผู้ฟ้องคดีฟ้องว่าบ้านของผู้ฟ้องคดีเลขที่ ๒๐/๑ ๒๐/๒ และร้านค้าปลูกสร้างในโฉนดที่ดินเลขที่ ๔๖๗๗ เลขที่ดิน ๒/๒๙๔ ตำบลบ้านอ้อย อำเภออุไทยใหญ่ เมืองกรุงเก่า ออกเมื่อวันที่ ๑๙ ธันวาคม ร.ศ. ๑๒๕ ปัจจุบันโฉนดที่ดินแปลงดังกล่าวมีชื่อน้องสาวของผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ถือครองกรรมสิทธิ์ ต่อมาผู้ถูกฟ้องคดีมีหนังสือ อย ๑๔๑๗/๑๒๓ ลงวันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๔๗ สั่งให้ผู้ฟ้องคดีรื้อถอนบ้านและร้านค้าออกจากที่ดินพิพาทภายใน ๙๐ วัน อ้างว่าได้ปลูกสร้างบ้านและร้านค้าบุกรุกที่ดินสาธารณประโยชน์โดยมิได้รับอนุญาต ผู้ฟ้องคดีอุทธรณ์คำสั่งต่อผู้ถูกฟ้องคดี ผู้ถูกฟ้องคดีได้มีคำวินิจฉัยอุทธรณ์โดยยกอุทธรณ์ดังกล่าว ผู้ฟ้องคดีเห็นว่าคำสั่งดังกล่าวของผู้ถูกฟ้องคดีไม่ชอบด้วยกฎหมายเนื่องจากบ้านและร้านค้าปลูกสร้างในที่ดินที่มีเอกสารแสดงกรรมสิทธิ์เป็นโฉนดที่ดินโดยมีชื่อน้องสาวของผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ถือครองกรรมสิทธิ์ ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือมีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ให้รื้อถอนบ้านและร้านค้าดังกล่าว ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีให้การสรุปได้ว่า บ้านและร้านค้าตั้งอยู่ในเขตที่สาธารณประโยชน์ ประกอบกับที่ดินทั้งสองฝั่งของทางสาธารณประโยชน์ดังกล่าวเป็นโฉนดที่ดินระบุข้างเคียงเป็นทางสาธารณประโยชน์และประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน ทั้งจากบันทึกถ้อยคำของผู้ฟ้องคดียอมรับว่าบุกรุกที่ดินสาธารณประโยชน์จริง คำสั่งดังกล่าวจึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว
ดังนั้น มูลความแห่งคดีนี้จึงสืบเนื่องมาจากการที่ผู้ถูกฟ้องคดีสั่งให้ผู้ฟ้องคดีรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินพิพาท แต่ผู้ฟ้องคดีเห็นว่าสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวอยู่ในโฉนดที่ดินของน้องสาวผู้ฟ้องคดี แม้ผู้ฟ้องคดีจะมิได้กล่าวอ้างว่าตนเองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท และคำสั่งดังกล่าวเป็นคำสั่งทางปกครองตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ ก็ตาม แต่การที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งตามคำขอของผู้ฟ้องคดีได้นั้น ศาลจำต้องพิจารณาให้ได้ความก่อนว่าที่ดินพิพาทเป็นที่สาธารณประโยชน์หรือเป็นของน้องสาวผู้ฟ้องคดีเป็นสำคัญ แล้วจึงจะพิจารณาได้ว่าคำสั่งดังกล่าวตามฟ้องชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ทั้งผลของคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลย่อมมีผลกระทบกระเทือนต่อสิทธิในที่ดินของน้องสาวผู้ฟ้องคดีโดยตรง คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินระหว่างคู่กรณี อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่าง นางเสนาะ ประไพพงษ์ ผู้ฟ้องคดี นายอำเภออุทัย ผู้ถูกฟ้องคดี อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม

(ลงชื่อ) ศุภชัย ภู่งาม (ลงชื่อ) วิชัย วิวิตเสวี
(นายศุภชัย ภู่งาม) (นายวิชัย วิวิตเสวี)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม

(ลงชื่อ) อักขราทร จุฬารัตน (ลงชื่อ) อัครวิทย์ สุมาวงศ์
(นายอักขราทร จุฬารัตน) (นายอัครวิทย์ สุมาวงศ์)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง

(ลงชื่อ) พลโท วิรัตน์ บรรเลง (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(วิรัตน์ บรรเลง) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร

(ลงชื่อ) พรชัย รัศมีแพทย์
(นายพรชัย รัศมีแพทย์)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
วัชรินทร์ คัด/ทาน

Share