แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
จำเลยให้การรับสารภาพพร้อมทั้งแจ้งข้อเท็จจริงว่าซื้อเมทแอมเฟตามีนของกลางจาก ณ. และ พ. เป็นเหตุให้มีการติดตามจับกุม ณ. และ พ. มาดำเนินคดีพร้อมเมทแอมเฟตามีนประมาณ 2,000 เม็ด ดังนั้น จำเลยเป็นผู้กระทำความผิดผู้ได้ให้ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษต่อพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจหรือพนักงานสอบสวน เห็นสมควรลงโทษจำเลยน้อยกว่าเกณฑ์ที่ลงโทษโดยทั่วไปสำหรับความผิดนั้นตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษฯ มาตรา 100/2
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 97, 102 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8, 8 ทวิ, 72 ทวิ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 91, 92, 371 เพิ่มโทษตามกฎหมาย และริบของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพในข้อหามีอาวุธปืนฯ และพาอาวุธปืนฯ ให้การปฏิเสธในข้อหามีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้เพิ่มโทษ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรคสอง (เดิม), 66 วรรคหนึ่ง (เดิม) พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 72 วรรคหนึ่ง, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 ทวิ วรรคสอง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 20 ปี เพิ่มโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 97 กึ่งหนึ่ง เป็นจำคุก 30 ปี ฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุก 1 ปี ฐานพาอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไปในเมือง หมู่บ้าน และทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 6 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวน และให้การรับสารภาพฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต และฐานพาอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไปในเมือง หมู่บ้าน และทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาต เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ลดโทษให้สำหรับความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายหนึ่งในสาม คงจำคุก 20 ปี ลดโทษให้สำหรับความผิดฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืน และความผิดฐานพาอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืน กระทงละกึ่งหนึ่ง รวม 2 กระทง จำคุก 9 เดือน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 รวม 3 กระทง จำคุก 20 ปี 9 เดือน ริบอาวุธปืนและเมทแอมเฟตามีนของกลาง ส่วนเงิน 28,000 บาท กระเป๋า 1 ใบ โทรศัพท์เคลื่อนที่ 1 เครื่อง รถจักรยานยนต์ 1 คัน สร้อยคอทองคำ 2 เส้น และพระเลี่ยมทองคำ 1 องค์ ของกลางให้คืนแก่เจ้าของ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุดังกล่าวในฟ้อง ร้อยตำรวจเอกปรีชาและจ่าสิบตำรวจออมสินกับพวกได้ร่วมกันจับกุมจำเลยได้พร้อมอาวุธปืนพกออโตเมติกขนาด .38 ไม่มีเครื่องหมายทะเบียน 1 กระบอก กระสุนปืนขนาด .38 จำนวน 8 นัด ซองบรรจุกระสุนปืน 1 อัน ซองปืน 1 ซอง กับเมทแอมเฟตามีน 1,000 เม็ด คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 29.65 กรัม เป็นของกลาง ความผิดฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต และความผิดฐานพาอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไปในเมือง หมู่บ้าน และทางสาธารณะ โดยไม่ได้รับใบอนุญาต ยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น คงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายหรือไม่ โจทก์มีร้อยตำรวจเอกปรีชา และจ่าสิบตำรวจออมสินเป็นพยานเบิกความสอดคล้องต้องกันว่า ก่อนเกิดเหตุร้อยตำรวจเอกปรีชาได้รับแจ้งจากสายลับว่าจำเลยนำเมทแอมเฟตามีนไปส่งให้แก่ผู้ซื้อบริเวณหน้าห้องแถวเลขที่ 46/4 หมู่ 11 ตำบลหนองปรือ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี ร้อยตำรวจเอกปรีชากับพวกจึงวางแผนจับกุมจำเลย โดยนำกำลังไปล้อมบริเวณห้องแถวที่เกิดเหตุ พยานโจทก์ทั้งสองได้แอบซุ่มอยู่ห่างจากห้องแถวที่เกิดเหตุประมาณ 10 เมตร ต่อมาประมาณ 15 นาที จำเลยขับรถจักรยานยนต์ถึงหน้าห้องแถวที่เกิดเหตุแล้วยืนหันหลังให้พยานโจทก์ทั้งสองเนื่องจากสายลับแจ้งว่าจำเลยมีอาวุธปืนติดตัวมาด้วย ร้อยตำรวจเอกปรีชาเข้าล็อกคอจำเลยพร้อมกับแสดงตัวเป็นเจ้าพนักงานตำรวจ จ่าสิบตำรวจออมสินตรวจค้นตัวจำเลยพบอาวุธปืนพกไม่มีเครื่องหมายทะเบียนพร้อมกระสุนปืน 8 นัด เหน็บอยู่ที่เอว จากนั้นจำเลยล้วงสิ่งของออกจากกระเป๋ากางเกงด้านหน้าข้างขวาพบถุงพลาสติกชนิดมีหูรูดสีฟ้า 5 ถุง แต่ละถุงมีเมทแอมเฟตามีนถุงละ 200 เม็ด รวม 1,000 เม็ด และตรวจค้นกระเป๋ากางเกงด้านหลังข้างขวา พบกระเป๋าเงินมีธนบัตรชนิดต่างๆ รวมเป็นเงิน 28,000 บาท และโทรศัพท์เคลื่อนที่ยี่ห้อโนเกีย 1 เครื่อง อยู่ในกระเป๋ากางเกงด้านหน้าข้างซ้าย นอกจากนี้ยังพบว่าจำเลยสวมสร้อยคอทองคำ 2 เส้น เส้นหนึ่งหนัก 10 บาท อีกเส้นหนึ่งเป็นสร้อยคอทองคำสลับอัญมณีและมีพระเลี่ยมทองคำแขวนอยู่ และรถจักรยานยนต์ 1 คัน จึงยึดไว้เป็นของกลาง จำเลยยอมรับว่า จำเลยรับเมทแอมเฟตามีนของกลางมาจากนายณัฐวุฒิและนางสาวพรทิพย์ซึ่งเป็นสามีภริยากันในราคาถุงละ 10,000 บาท เพื่อนำไปจำหน่ายในราคาเม็ดละ 60 บาท เจ้าพนักงานตำรวจและพนักงานสอบสวนจึงแจ้งข้อหาตามที่ฟ้องเป็นคดีนี้ จำเลยให้การรับสารภาพ ตามบันทึกการจับกุมและบันทึกคำให้การ ต่อมาได้มีการขยายผลและติดตามจับกุมนายณัฐวุฒิและนางสาวพรทิพย์ได้ที่หมู่ที่ 12 ตำบลหนองปรือ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี ได้พร้อมเมทแอมเฟตามีนประมาณ 2,000 เม็ด เห็นว่า พยานโจทก์ทั้งสองเป็นเจ้าพนักงานตำรวจ ไม่เคยรู้จักหรือมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อนจึงไม่มีเหตุระแวงสงสัยว่าจะเบิกความให้ร้ายแก่จำเลยเพื่อให้จำเลยต้องรับโทษ การจับกุมจำเลยได้มีการวางแผนมาก่อน และทราบว่าจำเลยมีอาวุธปืนติดตัว เมื่อจับกุมจำเลยได้ก็ตรวจพบอาวุธปืนและเมทแอมเฟตามีนของกลางตรงกับที่สายลับแจ้งต่อร้อยตำรวจเอกปรีชา จึงเชื่อว่าการจับกุมจำเลยสืบเนื่องจากมีสายลับมาแจ้งต่อร้อยตำรวจเอกปรีชา แม้โจทก์ไม่นำสายลับมาเบิกความก็ไม่ทำให้คำเบิกความของพยานโจทก์ทั้งสองขาดน้ำหนักน่าเชื่อถือ ในชั้นจับกุมนอกจากจำเลยให้การรับสารภาพแล้วยังได้ให้รายละเอียดต่อร้อยตำรวจเอกปรีชาถึงเมทแอมเฟตามีนของกลางว่ารับมาจากนายณัฐวุฒิและนางสาวพรทิพย์ จนสามารถจับกุมนายณัฐวุฒิและนางสาวพรทิพย์ได้พร้อมด้วยเมทแอมเฟตามีนอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งข้อเท็จจริงดังกล่าวหากจำเลยไม่ได้เป็นผู้ให้การแล้ว ร้อยตำรวจเอกปรีชาก็คงไม่อาจทราบได้ ในชั้นสอบสวนพันตำรวจตรีอัฐพูลพนักงานสอบสวน แจ้งข้อหาแก่จำเลยเช่นเดียวกับชั้นจับกุม จำเลยให้การรับสารภาพ ตามบันทึกคำให้การของจำเลยเบิกความยอมรับว่าได้ลงลายมือชื่อในบันทึกคำให้การดังกล่าวโดยไม่มีเจ้านักงานตำรวจทำร้ายจำเลย ที่จำเลยอ้างว่าจำเลยลงลายมือชื่อในบันทึกการจับกุมเพราะถูกเจ้าพนักงานตำรวจทำร้ายร่างกายจึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง ส่วนที่จำเลยนำสืบว่าในวันเกิดเหตุจำเลยนำอาวุธปืนของกลางไปขายให้นายต้อมที่ห้องแถวที่เกิดเหตุเมื่อตกลงราคากันแล้ว นายต้อมขับรถจักรยานยนต์ออกไป ต่อมาได้กลับมาพร้อมเจ้าพนักงานตำรวจ 5 คน เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยและตรวจค้นห้องของนายต้อมพบเมทแอมเฟตามีนของกลางซึ่งไม่ใช่ของจำเลย จึงเป็นข้อเท็จจริงที่ขัดกับบันทึกคำให้การของจำเลยในชั้นสอบสวนที่จำเลยยอมรับว่าเมทแอมเฟตามีนของกลางเป็นของจำเลย ข้อนำสืบของจำเลยดังกล่าวจึงไม่มีเหตุผลให้รับฟังได้ ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า พยานผู้จับกุมทั้งสองเบิกความถึงจุดที่พบโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลางแตกต่างกับที่ระบุไว้ในบันทึกการจับกุม เห็นว่า เมื่อได้ความว่าจำเลยยอมรับว่าเมทแอมเฟตามีนของกลางที่ตรวจค้นได้เป็นของจำเลยแล้ว ข้อแตกต่างดังที่จำเลยอ้างย่อมไม่ใช่สาระสำคัญถึงขนาดที่จะทำให้พยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมามีพิรุธ พยานหลักฐานของจำเลยยังไม่อาจหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครองครอบเพื่อจำหน่ายตามคำวินิจฉัยของศาลล่างทั้งสอง มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการสุดท้ายว่ามีเหตุลดมาตราส่วนโทษให้แก่จำเลยหรือไม่ เห็นว่า ขณะกระทำความผิดจำเลยมีอายุ 24 ปี เกินกว่า 20 ปี จึงไม่อาจลดมาตราส่วนโทษให้แก่จำเลยได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 ฎีกาของจำเลยทุกข้อฟังไม่ขึ้น แต่ปรากฏจากพยานหลักฐานของโจทก์ตามที่โจทก์นำสืบว่า เมื่อถูกจึบกุมแล้วจำเลยให้การรับสารภาพพร้อมทั้งแจ้งข้อเท็จจริงว่าซื้อเมทแอมเฟตามีนของกลางจากนายณัฐวุฒิและนางสาวพรทิพย์เป็นเหตุให้มีการติดตามจับกุมนายณัฐวุฒิและนางสาวพรทิพย์มาดำเนินคดีพร้อมเมทแอมเฟตามีนประมาณ 2,000 เม็ด ดังนั้น จำเลยเป็นผู้กระทำความผิดผู้ได้ให้ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษต่อพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจหรือพนักงานสอบสวน เห็นสมควรลงโทษจำเลยน้อยกว่าเกณฑ์ที่ลงโทษโดยทั่วไปสำหรับความผิดนั้นตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 100/2”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง และวรรคสอง (เดิม), 66 วรรคหนึ่ง (เดิม) ประกอบมาตรา 100/2 จำคุก 12 ปี เพิ่มโทษกึ่งหนึ่งเป็นจำคุก 18 ปี เมื่อลดโทษให้หนึ่งในสามแล้วคงจำคุก 12 ปี รวมโทษฐานอื่นด้วยแล้วเป็นจำคุก 12 ปี 9 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2