คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2840/2550

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

ข้อตกลงและเงื่อนไขการใช้บัตรเครดิตของโจทก์ระบุว่า บัตรเครดิตนี้ธนาคารได้ออกให้และสงวนไว้เฉพาะผู้ถือบัตรเท่านั้น ห้ามมิให้ผู้ถือบัตรยินยอมอนุญาตหรือนำบัตรเครดิตไปให้บุคคลอื่นใช้ ดังนั้น ในกรณีที่มีบุคคลอื่นนำบัตรเครดิตของโจทก์ที่ออกให้แก่จำเลยไปใช้ชำระค่าสินค้าและค่าบริการแก่สถานประกอบกิจการและร้านค้าเป็นการใช้บัตรเครดิตซึ่งมิได้เป็นไปโดยถูกต้องตามประเพณีปฏิบัติและ/หรือเงื่อนไขการใช้บัตรเครดิตของโจทก์ จำเลยซึ่งเป็นผู้ถือบัตรเครดิตจะต้องรับผิดชำระหนี้อันเกิดจากการที่มีบุคคลอื่นนำบัตรเครดิตของโจทก์ไปใช้ ต่อเมื่อจำเลยได้ยินยอม อนุญาตหรือนำบัตรเครดิตของโจทก์ไปให้บุคคลอื่นใช้ตามข้อตกลงดังกล่าวข้างต้น การที่บัตรเครดิตของจำเลยถูกคนร้ายลักไปย่อมแสดงให้เห็นอยู่ในตัวว่าจำเลยมิได้ยินยอมอนุญาตหรือนำบัตรเครดิตของโจทก์ไปให้บุคคลอื่นใช้ตามข้อตกลงและเงื่อนไขการใช้บัตรเครดิตดังกล่าวแต่อย่างใด จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชำระหนี้ที่บุคคลอื่นนำบัตรเครดิตของโจทก์ไปใช้
การวินิจฉัยปัญหาใดโดยที่ประชุมใหญ่ของศาลฎีกา เป็นดุลพินิจของประธานศาลฎีกาโดยเฉพาะ คู่ความจึงร้องขึ้นมาหาได้ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า จำเลยเป็นสมาชิกบัตรเครดิตเอเชียวีซ่าของโจทก์ ระหว่างวันที่ 21 พฤษภาคม 2544 ถึงวันที่ 27 สิงหาคม 2544 จำเลยนำบัตรเครดิตเอเชียวีซ่าที่โจทก์ออกให้ไปใช้เบิกเงินสดล่วงหน้าจากเครื่องฝาก – ถอนเงินอัตโนมัติ ชำระค่าสินค้าและบริการและโจทก์ได้ทดรองจ่ายเงินดังกล่าวแทนจำเลยไปแล้ว จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์เพียงบางส่วน โจทก์ได้บอกเลิกการเป็นสมาชิกบัตรแล้ว ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 102,677.52 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 17 ต่อปี จากต้นเงินจำนวน 90,460 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยเป็นสมาชิกบัตรเครดิตเอเชียวีซ่ากับโจทก์ จำเลยไม่เคยค้างชำระหนี้แก่โจทก์ เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2544 จำเลยเดินทางไปต่างประเทศ โดยบัตรเครดิตของจำเลยได้ถูกโจรกรรมไปและคนร้ายได้นำบัตรเครดิตไปใช้ ลายมือชื่อที่ปรากฏในใบบันทึกการใช้บัตรไม่เหมือนหรือคล้ายกับลายมือชื่อของจำเลยที่ปรากฏอยู่ด้านหลังบัตรเครดิต จำเลยจึงไม่ต้องชำระหนี้ตามฟ้องแก่โจทก์ โจทก์คิดดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนดจึงตกเป็นโมฆะ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้ต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงคงฎีกาได้เฉพาะในปัญหาข้อกฎหมาย ซึ่งศาลฎีกาจำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมา ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาว่า จำเลยเป็นสมาชิกบัตรเครดิตเอเชียวีซ่าของโจทก์โดยตกลงยินยอมผูกพันปฏิบัติตามเงื่อนไขผู้ถือบัตร บัตรเครดิตที่โจทก์ออกให้แก่จำเลยได้ถูกคนร้ายลักเอาไปและนำไปใช้ชำระค่าสินค้าและค่าบริการแก่สถานประกอบกิจการและร้านค้าต่างๆ รวม 5 รายการ เป็นเงิน 90,460 บาท โจทก์ได้ชำระเงินค่าสินค้าและค่าบริการให้แก่สถานประกอบกิจการและร้านค้าดังกล่าวและส่งใบแจ้งหนี้ให้แก่จำเลยแล้ว จำเลยไม่ชำระหนี้ทั้งห้ารายการดังกล่าวแก่โจทก์ มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยต้องชำระหนี้แก่โจทก์ตามฟ้องหรือไม่ โจทก์ฎีกาว่าตามข้อตกลงและเงื่อนไขการใช้บัตรเครดิตของโจทก์ข้อ 12 ระบุว่าผู้ถือบัตรรับทราบว่าหากการใช้บัตรเครดิตมิได้เป็นไปโดยถูกต้องตามประเพณีปฏิบัติและ/หรือเงื่อนไขการใช้บัตรเครดิตของธนาคาร ผู้ถือบัตรยินยอมชำระหนี้ให้แก่ธนาคารทันทีที่ได้รับการทวงถามจากธนาคาร หนี้ตามฟ้องเป็นหนี้ที่เกิดจากมีการนำบัตรเครดิตของโจทก์ซึ่งอยู่ในความครอบครองของจำเลยไปชำระค่าสินค้าและค่าบริการโดยจำเลยมิได้ขอยกเลิกการใช้บัตรเครดิตและมิได้แจ้งให้ธนาคารทราบทันทีเมื่อบัตรเครดิตสูญหาย เมื่อโจทก์ได้ชำระค่าสินค้าและค่าบริการดังกล่าวให้แก่สถานประกอบกิจการหรือร้านค้าไปแล้ว จำเลยจึงต้องรับผิดชำระหนี้อันเกิดจากการใช้บัตรเครดิตดังกล่าวแก่โจทก์นั้น เห็นว่า ข้อตกลงและเงื่อนไขการใช้บัตรเครดิตของโจทก์ข้อ 11 ระบุว่า บัตรเครดิตนี้ธนาคารได้ออกให้และสงวนไว้เฉพาะผู้ถือบัตรเท่านั้น ห้ามมิให้ผู้ถือบัตรยินยอมอนุญาตหรือนำบัตรเครดิตไปให้บุคคลอื่นใช้ ดังนั้น ในกรณีมีบุคคลอื่นนำบัตรเครดิตของโจทก์ที่ออกให้แก่จำเลยไปใช้ชำระค่าสินค้าและค่าบริการแก่สถานประกอบกิจการและร้านค้าเป็นการใช้บัตรเครดิตซึ่งมิได้เป็นไปโดยถูกต้องตามประเพณีปฏิบัติและ/หรือเงื่อนไขการใช้บัตรเครดิตของโจทก์ จำเลยซึ่งเป็นผู้ถือบัตรเครดิตจะต้องรับผิดชำระหนี้อันเกิดจากการที่มีบุคคลอื่นนำบัตรเครดิตของโจทก์ไปใช้ต่อเมื่อจำเลยได้ยินยอม อนุญาตหรือนำบัตรเครดิตของโจทก์ไปให้บุคคลอื่นใช้ตามข้อตกลงดังกล่าวข้างต้น การที่บัตรเครดิตของจำเลยถูกคนร้ายลักไปย่อมแสดงให้เห็นอยู่ในตัวว่าจำเลยมิได้ยินยอมอนุญาตหรือนำบัตรเครดิตของโจทก์ไปให้บุคคลอื่นใช้ตามข้อตกลงและเงื่อนไขการใช้บัตรเครดิตดังกล่าวแต่อย่างใด จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชำระหนี้ที่บุคคลอื่นนำบัตรเครดิตของโจทก์ไปใช้ ส่วนข้ออ้างตามฎีกาของโจทก์ที่ว่าจำเลยมิได้ขอยกเลิกการใช้บัตรเครดิตและมิได้แจ้งให้ธนาคารทราบทันทีเมื่อบัตรเครดิตสูญหายนั้นเป็นการกระทำคนละกรณีกับการกระทำที่โจทก์ฟ้องและตามข้อตกลงและเงื่อนไขการใช้บัตรเครดิตของโจทก์ก็มิได้ระบุให้จำเลยต้องรับผิดชำระหนี้อันเกิดจากการใช้บัตรเครดิตแก่โจทก์ในกรณีที่จำเลยมิได้ปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าว ข้ออ้างดังกล่าวจึงเป็นเรื่องนอกเหนือคำฟ้องและเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ประธานศาลฎีกาวินิจฉัยคดีนี้โดยที่ประชุมใหญ่ของศาลฎีกานั้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 140 วรรคสอง การจะให้มีการวินิจฉัยปัญหาใดในคดีเรื่องใดโดยที่ประชุมใหญ่ของศาลฎีกาเป็นอำนาจหน้าที่ของประธานศาลฎีกาโดยเฉพาะ คู่ความจะร้องขึ้นมาหาได้ไม่”
พิพากษายืน

Share