แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
ใบมอบฉันทะของโจทก์ลงวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2546 ได้มอบอำนาจให้ ว. ไปฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 และลงลายมือชื่อรับทราบคำสั่งศาลในคดีนี้โดยมิได้ระบุว่าให้ฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 ในวันเวลาใด ดังนั้น ตราบใดที่ยังไม่มีการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 ว. ก็ยังมีอำนาจฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 อยู่จนกว่าโจทก์จะถอนหรือยกเลิกใบมอบฉันทะ การที่ ว. มาฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 เวลา 16.15 นาฬิกา หลังจากที่ศาลมีคำสั่งในรายงานกระบวนพิจารณา ลงวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2546 เวลา 10 นาฬิกา แล้วให้เลื่อนการฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 ไปเป็นวันที่ 11 มีนาคม 2546 เวลา 9 นาฬิกา และออกหมายจับจำเลยรวมทั้งปรับนายประกันแล้วก็ต้องถือว่า ว. ได้ปฏิบัติหน้าที่ตามที่ได้รับมอบฉันทะจากโจทก์ มิใช่กระทำโดยพลการดังนั้น เมื่อศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 ให้ ว. ฟังก็ต้องถือว่าได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 ให้โจทก์ฟังโดยชอบแล้ว
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 ถึงวันนัดนางสาวแววดาว ผู้รับมอบฉันทะจากผู้รับมอบอำนาจโจทก์มาศาล ส่วนจำเลยไม่มา ศาลชั้นต้นจึงงดการอ่านและเลื่อนนัดไปกับออกหมายจับจำเลย แต่ต่อมาในวันนั้นเอง จำเลยมาศาลและยื่นคำร้องขอฟังคำพิพากษา เจ้าหน้าที่ศาลได้โทรศัพท์ตามนางแววดาวให้มาฟังคำพิพากษา ศาลชั้นต้นจึงอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 ให้จำเลยและนางสาวแววดาวผู้รับมอบฉันทะจากผู้รับมอบอำนาจโจทก์ฟัง
โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 ให้โจทก์ฟังใหม่
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาตามฎีกาของโจทก์ว่าโจทก์ทราบคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 7 โดยชอบแล้วหรือไม่ ในข้อนี้โจทก์ฎีกาว่า โจทก์มอบฉันทะให้นางสาวแววดาว เป็นผู้ไปฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 แทนโจทก์ซึ่งศาลชั้นต้นนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2546 เวลา 9.00 นาฬิกาและศาลชั้นต้นออกนั่งพิจารณาคดีเพื่ออ่านคำพิพากษาเวลา 10 นาฬิกา เพราะรอจำเลยแต่จำเลยไม่มาศาลจึงได้ออกหมายจับจำเลยและเลื่อนการนัดฟังคำพิพากษาไปเป็นวันที่ 11 มีนาคม 2546 เวลา 9 นาฬิกา นางสาวแววดาวได้ลงลายมือชื่อรับทราบคำสั่งศาลชั้นต้นดังกล่าว ถือว่านางสาวแววดาวได้ทำหน้าที่ตามที่โจทก์มอบฉันทะครบถ้วนแล้ว ดังนั้น การที่นางสาวแววดาวเดินทางไปศาลชั้นต้นในเย็นวันเดียวกันตามที่เจ้าหน้าที่ศาลโทรศัพท์ให้ไปฟังคำพิพากษาอีกครั้งหนึ่งและลงลายมือชื่อรับทราบผลของคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 ที่อ่านให้นางสาวแววดาวและจำเลยฟังแล้วเป็นการกระทำโดยพลการของนางสาวแววดาวเพราะไม่ได้รับมอบฉันทะจากโจทก์นั้นเห็นว่า ตามใบมอบฉันทะของโจทก์ลงวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2546 โจทก์ได้มอบอำนาจให้นางสาวแววดาวไปฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 และลงลายมือชื่อรับทราบคำสั่งศาลในคดีนี้โดยมิได้ระบุว่าให้ฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 ในวันเวลาใดการมอบฉันทะดังกล่าวก็เพื่อให้นางสาวแววดาวมาฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 แทนโจทก์จนเสร็จการนั้นเอง ตราบใดที่ยังไม่มีการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 นางสาวแววดาวก็ยังมีอำนาจฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 อยู่จนกว่าโจทก์จะถอนหรือยกเลิกใบมอบฉันทะดังกล่าว การที่นางสาวแววดาวมาฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 อีกครั้งหนึ่งในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2546 เวลา 16.15 นาฬิกา หลังจากที่ศาลมีคำสั่งในรายงานกระบวนพิจารณา ลงวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2546 เวลา 10 นาฬิกา แล้วก็ให้เลื่อนการฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 ไปเป็นวันที่ 11 มีนาคม 2546 เวลา 9 นาฬิกา และออกหมายจับจำเลยรวมทั้งปรับนายประกันแล้วเช่นนี้ก็ต้องถือว่านางสาวแววดาวได้ปฏิบัติหน้าที่ตามที่ได้รับมอบฉันทะจากโจทก์มิใช่กระทำโดยพลการตามที่โจทก์ฎีกาแต่อย่างใด ดังนั้น เมื่อศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 ให้นางสาวแววดาวฟังก็ต้องถือว่าได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 ให้โจทก์ฟังโดยชอบแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นที่ยกคำร้องของโจทก์ที่ขอให้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 ใหม่นั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน