แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
พฤตติการณ์ที่ไม่เป็นการฉ้อโกง
อย่างไรไม่เรียกว่าเป็นเหตุอยู่ในลักษณคดี
วิธีพิจารณาอาญา
ศาลเดิมลงโทษจำเลยตามมาตรา 308 จำเลยอีกคนหนึ่งมิได้อุทธรณ์ขึ้นมาดังนี้นับว่าคดีได้เสร็จเด็ดขาดถึงที่สุดแล้ว ศาลไม่มีอำนาจที่จะพิพากษาถึงตัวจำเลยคนที่มิได้อุทธรณ์ขึ้นมาเพราะมิได้เป็นการร่วมกันโดยลักษณคดี
ปพพม237 พฤตติการณ์ที่ไม่เป็นการฉ้อโกง
ย่อยาว
ได้ความว่าเดิม ฉ.จำเลยได้เอาที่ดินรวม ๖ โฉนดไปจำนองไว้กับโจทก์แล้วไม่ส่งดอกเบี้ยโจทก์จึงฟ้อง แต่ในที่สุดได้ทำสัญญายอมความกันต่อศาลว่า ฉ.จำเลยจะยอมชำระต้นเงินแลดอกเบี้ยให้โจทก์เป็นเงิน ๒๗๐๐ บาท ระวางนี้ ส.จำเลยตัวการจะซื้อที่ดินของ ฉ.จำเลย ๒ แปลงซึ่งแปลงหนึ่งเป็นที่ที่ ฉ.ได้เอาจำนองไว้กับโจทก์แล้ว จำเลยจึงได้ไปบอกให้โจทก์ทราบ โจทก์ยอมตกลงด้วยและพากันมาทำการไถ่ถอนการจำนองแลโอนขายกันที่หอทะเบียน แต่ในที่สุดไม่ตกลงกันเรื่องการรับเงิน การไถ่ถอนการจำนองก็ต้องระงับไป ส.จำเลยจึงซื้อที่แปลงนี้ไม่ได้ จึงขอซื้อแต่แปลงที่ไม่ได้จำนองไว้กับโจทก์ ๆ คัดค้าน แต่จำเลยไม่ฟังทำการซื้อขายกันจนได้ ฉ.จำเลยรับเงินแล้วก็หาได้ชำระให้โจทก์ไม่ โจทก์จึงยึดที่แปลงนี้อ้างว่าที่ดินที่จำนองไว้ไม่พอชำระหนี้ ส.จำเลยคัดค้านโจทก์จึงฟ้อง ฉ.แล ส.จำเลยหาว่าสมคบกันป้องกันทรัพย์มิให้ถูกอายัติถูกยึดโดยเจตนาฉ้อโกงโจทก์ ขอให้ลงโทษตาม ม.๓๐๘ แลให้เพิกถอนการโอน
ศาลเดิมให้จำคุก ฉ.จำเลย ๘ เดือน ส.จำเลย ๓ เดือน ตามมาตรา ๓๐๘ แต่ให้รอการลงอาชญาไว้ กับให้ทำลายการโอน
ส.จำเลยผู้เดียวอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าจำเลยไม่ได้ทำผิดในทางอาญา แม้ ฉ.จำเลยมิได้อุทธรณ์ขึ้นมาก็พิจารณาถึงด้วยได้ จึงให้ยกฟ้องแลปล่อยจำเลยทั้ง ๒ ไป
ศาลฎีกาเห็นว่าตามพฤตติการณ์รูปคดีอันเป็นผิดฐานฉ้อโกงได้เกิดขึ้นแล้ว แต่จำเลยคนใดจะเป็นผู้กระทำผิดนั้นเป็นข้อเท็จจริงฉะเพาะตัว เมื่อศาลเดิมฟังว่า ฉ.จำเลยกระทำผิดแลพิพากษาลงโทษ ฉ.จำเลยก็ยอมรับโทษมิได้อุทธรณ์ขึ้นมา นับว่าคดีถึงที่สุดเด็ดขาดไปแล้ว ส่วน ส.จำเลยโต้แย้งว่าตนไม่ผิดแลศาลอุทธรณ์ฟังว่าไม่จริงจึงตัดสินปล่อยนั้น หาเกี่ยวข้องถึง ฉ.จำเลยด้วยไม่เพราะมิได้ร่วมกันโดยลักษณคดี ศาลอุทธรณ์จึงไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาล่วงล้ำถึง ฉ.จำเลยในข้อเท็จจริงส่วนตัวเขา จึงพิพากษาให้ลงโทษแลรอการลงอาญา ฉ.จำเลยตามคำตัดสินศาลเดิม