คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2503/2551

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

สำเนาเอกสารไม่มีเจ้าหน้าที่รับรอง แต่ขณะที่โจทก์นำสืบพยานเอกสารดังกล่าว จำเลยมิได้โต้แย้งคัดค้านไว้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 125 จึงต้องถือว่าสำเนาเอกสารดังกล่าวมีข้อความถูกต้องตรงกับต้นฉบับและรับฟังเป็นหลักฐานพยานได้
ข้อความในหนังสือขอตรวจสอบยอดค้างชำระและเงินตามที่ พ. รับรองความถูกต้องของยอดหนี้ ถือได้ว่าจำเลยได้กระทำการใดๆ อันปราศจากข้อสงสัยให้เป็นปริยายว่ายอมรับสภาพหนี้ตามสิทธิเรียกร้องของโจทก์มีผลให้อายุความสะดุดหยุดลงในวันที่ พ. กระทำการรับรองถึงวันที่ 3 พฤศจิกายน 2540 และเริ่มนับอายุความใหม่ตั้งแต่วันที่ 3 พฤศจิกายน 2540 เมื่อนับถึงวันฟ้องคือวันที่ 3 กันยายน 2541 คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ 2 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/14 (1), 193/15 และ 193/34 (1)
จำเลยผู้เห็นยินยอมให้ พ. เชิดตนเองกระทำการรับรองความถูกต้องของหนังสือตรวจสอบยอดหนี้ของโจทก์ จำเลยจึงต้องรับผิดต่อโจทก์เสมือน พ. เป็นตัวแทนของจำเลยตาม ป.พ.พ. มาตรา 821

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อประมาณเดือนกุมภาพันธ์ 2538 ถึง มีนาคม 2540 จำเลยว่าจ้างโจทก์ใช้เครื่องจักรประเภทรถแทรกเตอร์รถแบ็กโฮ รถยนต์บรรทุกสิบล้อทำงานในการก่อสร้างงานโครงการเมืองเอก 9 รังสิต โครงการเมืองเอกสุวินทวงศ์ และโครงการสนามกอล์ฟเมืองเอกสุวินทวงศ์ โดยตกลงชำระสินจ้างเป็นงวดตามผลงานเครื่องจักร จำเลยค้างชำระสินจ้างตามผลงานที่ทำเสร็จแล้ว เป็นเงิน 10,163,186.26 บาท และภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ 10 ของสินจ้างเป็นเงิน 1,016,318.62 บาท รวมเป็นเงินค้างชำระ 11,179,505.89 บาท โจทก์ทวงถามแล้ว จำเลยเพิกเฉย ทำให้โจทก์เสียหายเท่ากับดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี คิดตั้งแต่วันครบกำหนดตามใบส่งมอบงานแต่ละครั้งถึงวันฟ้องเป็นเงิน 1,930,027.43 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 13,109,532.32 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 10,163,186.26 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่ได้เป็นนิติบุคคลและไม่มีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการตามฟ้อง นางพิมใจ ไม่ได้เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการโจทก์ ลายมือชื่อในหนังสือมอบอำนาจไม่ใช่ลายมือชื่อนางพิมใจ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยไม่ได้ว่าจ้างโจทก์ทำงานจ้างเหมาตามฟ้อง โจทก์ไม่ได้จัดส่งเครื่องจักรเข้าดำเนินการและไม่เคยส่งมอบงานที่แล้วเสร็จในโครงการตามฟ้อง จำเลยไม่ได้ค้างชำระสินจ้างตามฟ้องหากฟังว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์จำเลยก็ไม่ต้องรับผิดชำระเงินต้นและดอกเบี้ยตามฟ้องเนื่องจากโจทก์คิดจำนวนเงินต้นและดอกเบี้ยไม่ถูกต้อง โจทก์ไม่ใช้สิทธิเรียกร้องภายในกำหนด 2 ปี นับแต่วันครบกำหนดชำระเงินในแต่ล่ะงวดงาน ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ โจทก์ไม่บรรยายฟ้องว่า งานแต่ละโครงการตกลงสินจ้างจำนวนเท่าใด กำหนดจ่ายสินจ้างอย่างไร กำหนดเวลาแล้วเสร็จของงานเมื่อใด หากฝ่ายหนึ่งผิดสัญญาต้องปฏิบัติต่อกันอย่างไร และฟ้องโจทก์ขัดกับข้อเท็จจริงและเอกสารฟ้องโจทก์จึงเคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 10,874,609.29 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากเงินต้น 10,163,186.26 บาท นับตั้งแต่วันที่ 4 พฤศจิกายน 2540 จนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความเป็นเงิน 25,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์เป็นเงิน 15,000 บาท
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า จำเลยว่าจ้างโจทก์ทำงานในโครงการเมืองเอก 9 รังสิตโครงการเมืองเอกสุวินทวงศ์ และสนามกอล์ฟเมืองเอกสุวินทวงศ์มีปัญหาวินิจฉัยประการแรกตามฎีกาของจำเลยว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ โจทก์มีนางสาวสุมาลี ทรัพย์เหลือหลาย มาเบิกความว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลและมอบอำนาจให้นางสาวสุมาลีฟ้องคดีแทนตามเอกสารหมาย จ.1 และ จ..2 ตามลำดับ ส่วนจำเลยมิได้นำสืบโต้แย้งค้ดค้านในประเด็นนี้ ดังนั้น แม้เอกสารหมาย จ.1 บางส่วนจะเป็นเพียงสำเนาเอกสาร ไม่มีเจ้าหน้าที่ของสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานคร และนางพิมใจ หุ้นส่วนผู้จัดการโจทก์มาเบิกความสนับสนุนตามที่จำเลยกล่าวอ้างในฎีกาก็ตาม แต่ขณะที่โจทก์นำสืบพยานเอกสารดังกล่าว จำเลยมิได้โต้แย้งคัดค้านไว้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 125 จึงต้องถือว่าสำเนาเอกสารดังกล่าวมีข้อความถูกต้องตรงกับต้นฉบับและรับฟังเป็นหลักฐานพยานได้ และถือได้ว่าโจทก์นำสืบรับฟังได้ว่าโจทก์มีอำนาจฟ้อง ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
ปัญหาประการที่สองมีว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยว่าจ้างโจทก์ใช้เครื่องจักรต่างๆ ทำงานในการก่อสร้าง 3 โครงการ มีกำหนดเวลาชำระสินจ้างโดยมีเอกสารแนบท้ายฟ้อง ซึ่งมีรายละเอียดเข้าใจได้ว่า จำเลยว่าจ้างโจทก์ให้ทำงานเมื่อใด อย่างไร เพียงพอที่ทำให้จำเลยเข้าใจสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาและสามารถให้การต่อสู้คดีได้แล้ว ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
ปัญหาประการที่สามมีว่า จำเลยค้างชำระเงินโจทก์อยู่เท่าใดโจทก์นำสืบว่า โจทก์ทำงานและส่งมอบงานให้จำเลยตามใบส่งมอบงานเอกสารหมาย จ.6 ถึง จ.8 พนักงานของจำเลยลงนามรับรองความถูกต้องของยอดหนี้ที่ค้างตามเอกสารหมาย จ.10 ซึ่งปรากฏตามใบส่งงานเอกสารหมาย จ.6 ถึง จ.8 มีลายมือชื่อผู้ควบคุมงานของจำเลยลงนามรับรอง และเอกสารหมาย จ.10 มีนางสาวพิทยาผู้จัดการฝ่ายบัญชีและการเงินของจำเลยลงนามรับรองยอดหนี้สินจ้างที่ค้างชำระ จำเลยนำสืบเพียงว่าในใบส่งงานของโจทก์ทุกฉบับยังไม่มีลายมือชื่อผู้ตรวจสอบของจำเลยลงนามจำเลยจึงไม่ชำระสินจ้าง เห็นว่า จำเลยจะยกเหตุดังกล่าวมาปฏิเสธการชำระสินจ้างไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องขั้นตอนการปฏิบัติงานภายในของจำเลยพยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานจำเลย ฟังได้ว่าจำเลยค้างชำระสินจ้างแก่โจทก์ตามจำนวนเงินในคำฟ้อง ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
ปัญหาประการสุดท้ายมีว่า คดีขาออายุความหรือไม่ โจทก์นำสืบว่า ก่อนฟ้องโจทก์เคยมีหนังสือถึงจำเลยขอตรวจสอบยอดหนี้สินจ้างที่ค้างชำระ โดยแนบสรุปยอดเงินค้างชำระไปด้วย นางสาวพิทยาผู้จัดการฝ่ายบัญชีและการเงินของจำเลยลงชื่อรับรองว่า มียอดเงินสินจ้างที่จำเลยค้างชำระโจทก์และตรงตามยอดเงินค้างตามหนังสือขอตรวจสอบรายละเอียดตามเอกสารหมาย จ.10 จำเลยนำสืบว่ารายการสินจ้างหลายรายการตามเอกสารหมาย จ.6 ถึง จ.8 ขาดอายุความ เห็นว่า ตามข้อความในหนังสือขอตรวจสอบยอดค้างชำระและเงินตามที่นางสาวพิทยารับรองความถูกต้องของยอดหนี้ตามเอกสารหมาย จ.10 ถือได้ว่าจำเลยได้กระทำการใดๆ อันปราศจากข้อสงสัยให้เห็นเป็นปริยายว่ายอมรับสภาพหนี้ตามสิทธิเรียกร้องของโจทก์มีผลให้อายุความฟ้องคดีของโจทก์สะดุดหยุดลงในวันที่นางสาวพิทยากระทำการรับรองถึงวันที่ 3 พฤศจิกายน 2540 และเริ่มนับอายุความใหม่ตั้งแต่วันที่ 3 พฤศจิกายน 2540 เมื่อนับถึงวันฟ้องคือวันที่ 3 กันยายน 2541 คดีโจทก์จึงไม่ขาออายุความ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/14 (1), 193/15 และ 193/34 (1) ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยไม่ได้แต่งตั้งนางสาวพิทยาเป็นตัวแทนกระทำการรับรองยอดหนี้ดังกล่าวนั้น เห็นว่านางสาวพิทยาเป็นพนักงานของจำเลยมีตำแหน่งเป็นผู้จัดการฝ่ายบัญชีและการเงิน และจำเลยเคยว่าจ้างโจทก์เช่นนี้มาประมาณ 17 ปี ดังนั้น การที่นางสาวพิทยาลงนามรับรองตามหนังสือขอตรวจสอบยอดหนี้เอกสารหมาย จ.10 เชื่อ ว่าจำเลยรู้เห็นและยอมให้นางสาวพิทยาเชิดตนเองแสดงออกเป็นตัวแทนของจำเลยในการดำเนินการดังกล่าวพยายหลักฐานโจทก์รับฟังได้ดีกว่าพยานหลักฐานจำเลยฟังได้ว่าจำเลยรู้เห็นยินยอมให้นางสาวพิทยาเชิดตนเองกระทำการรับรองความถูกต้องของหนังสือตรวจสอบยอดหนี้ของโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.10 จำเลยจึงต้องรับผิดต่อโจทก์เสมือนนางสาวพิทยาเป็นตัวแทนของจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 821 ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าคดีโจทก์ไม่ขาดอายุความจึงชอบแล้ว”
พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นฎีกาแทนโจทก์เป็นเงิน 10,000 บาท

Share