คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2184/2551

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 8,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับถัดจากวันกู้เงินจนถึงวันชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยอุทธรณ์ว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด คืออัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 7 และมาตรา 224 ทั้งเป็นการขัดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ.2540 จึงบังคับดอกเบี้ยได้เท่าที่เป็นธรรมและพอสมควร คืออัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ขอให้ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ โดยให้จำเลยรับผิดในดอกเบี้ยเท่าที่เป็นธรรมและพอสมควร ดังนี้ เป็นกรณีที่จำเลยอุทธรณ์คัดค้านจำนวนดอกเบี้ยที่จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์ ซึ่งหากศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยชนะคดีตามอุทธรณ์ ทุกข์ของจำเลยย่อมปลดเปลื้องไปเท่ากับจำนวนดอกเบี้ยที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยไม่ต้องรับผิดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น อุทธรณ์ของจำเลยจึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้หรือคดีมีทุนทรัพย์ ต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ตามจำนวนทุนทรัพย์ที่จำเลยเรียกร้องให้รับผิดลดลง ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 150 วรรคสอง ทั้งนี้ ไม่เกี่ยวกับว่าอุทธรณ์ของจำเลยเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมาย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2541 จำเลยกู้เงินโจทก์ 8,000,000 บาท โดยจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 1031 ตำบลคลองกุ่ม อำเภอบางกะปิ กรุงเทพมหานคร เฉพาะส่วนของจำเลยไว้แก่โจทก์เพื่อเป็นประกัน ยอมเสียดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ชำระดอกเบี้ย 4 เดือนต่อครั้ง และกำหนดไถ่ถอนจำนองภายใน 1 ปี แต่จำเลยผิดสัญญาไม่เคยชำระดอกเบี้ยหรือต้นเงินให้แก่โจทก์ โจทก์มีหนังสือทวงถามให้จำเลยชำระหนี้ไถ่ถอนจำนองแล้ว จำเลยเพิกเฉย ดอกเบี้ยนับถัดจากวันกู้เงินถึงวันฟ้องคิดเป็นเงิน 7,959,994 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 15,959,994 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีของต้นเงิน 8,000,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยไม่ชำระให้ยึดที่ดินที่จำนองออกขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้แก่โจทก์
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า คดีมิได้อยู่ในเขตอำนาจของศาลชั้นต้น จำเลยไม่เคยกู้เงินโจทก์หรือจำนองที่ดินไว้แก่โจทก์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะโจทก์ไม่มีต้นฉบับสัญญากู้เงินมาแสดง จำเลยไม่เคยได้รับหนังสือทวงถามให้ชำระหนี้ไถ่ถอนจำนอง โจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ลายมือชื่อผู้จำนองในสัญญาจำนองมิใช่ลายมือชื่อของจำเลย โจทก์ปลอมลายมือชื่อของจำเลยในช่องผู้จำนอง ทำให้เจ้าพนักงานที่ดินหลงเชื่อและรับจดทะเบียนจำนองให้แก่โจทก์ จำเลยไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง และพิพากษาว่าสัญญาจำนองตามฟ้องเป็นเอกสารปลอม กับให้เจ้าพนักงานที่ดินเพิกถอนรายการจดทะเบียนจำนองที่ดินดังกล่าวให้แก่จำเลย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งยืนยันข้อเท็จจริงตามฟ้อง ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ระหว่างพิจารณา จำเลยยื่นคำร้องขอถอนคำให้การและฟ้องแย้ง โดยจำเลยยอมรับข้อเท็จจริงตามฟ้องโจทก์ทุกประการศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 8,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับถัดจากวันกู้เงิน (กู้เงินวันที่ 21 ตุลาคม 2541) จนถึงวันชำระเสร็จแก่โจทก์ ดอกเบี้ยคำนวณถึงวันฟ้อง (วันที่ 18 กรกฎาคม 2548) ต้องไม่เกิน 7,959,994 บาท ตามที่โจทก์ขอ หากไม่ชำระให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 1031 ตำบลคลองกุ่ม อำเภอบางกะปิ กรุงเทพมหานคร เฉพาะส่วนของจำเลยออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระแก่โจทก์ ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 10,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์ โดยเสียค่าขึ้นศาลชั้นต้นอุทธรณ์อย่างคดีไม่มีทุนทรัพย์
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า อุทธรณ์ของจำเลยเป็นคดีมีทุนทรัพย์จำนวน 3,979,997 บาท ให้จำเลยชำระค่าขึ้นศาลให้ครบถ้วนภายใน 15 วัน มิฉะนั้นไม่รับอุทธรณ์
จำเลยอุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกาของจำเลยบางข้อ จำเลยมิได้อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ในข้อดังกล่าว คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยในชั้นนี้เพียงว่า ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำเลยชำระค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์อย่างคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้หรือคดีมีทุนทรัพย์นั้น ชอบหรือไม่ เห็นว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 8,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีนับถัดจากวันกู้เงินจนถึงวันชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นในสาระสำคัญว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด คืออัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 7 และมาตรา 224 ทั้งเป็นการขัดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ.2540 จึงบังคับดอกเบี้ยได้เท่าที่เป็นธรรมและพอสมควร คืออัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ขอให้ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ โดยให้จำเลยรับผิดในดอกเบี้ยเท่าที่เป็นธรรมและพอสมควร ดังนี้ จึงเป็นกรณีที่จำเลยอุทธรณ์คัดค้านจำนวนดอกเบี้ยที่จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์ ซึ่งหากศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยชนะคดีตามอุทธรณ์ ทุกข์ของจำเลยย่อมปลดเปลื้องไปเท่ากับจำนวนดอกเบี้ยที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยไม่ต้องรับผิดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น อุทธรณ์ของจำเลยจึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้หรือคดีมีทุนทรัพย์ ต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ตามจำนวนทุนทรัพย์ที่จำเลยเรียกร้องให้รับผิดลดลง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 150 วรรคสอง ทั้งนี้ ไม่เกี่ยวกับว่าอุทธรณ์ของจำเลยเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมาย ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำเลยชำระค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์อย่างคดีมีทุนทรัพย์จึงชอบแล้วอุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น แต่เนื่องจากกำหนดเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้จำเลยนำค่าขึ้นศาลตามจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์มาชำระได้สิ้นสุดลงแล้ว เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมศาลฎีกาเห็นสมควรกำหนดเวลาให้จำเลยปฏิบัติตามคำสั่งศาลชั้นต้นเสียใหม่”
พิพากษายืน หากจำเลยประสงค์จะอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นไป ให้จำเลยนำค่าขึ้นศาลตามจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์มาชำระต่อศาลชั้นต้นภายในกำหนด 15 วัน นับแต่วันฟ้องคำพิพากษานี้ ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้เป็นพับ

Share