แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
จำเลยที่ 2 ให้การและนำสืบรับสารภาพความผิดตามฟ้องจนศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษแล้ว การที่จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ว่าไม่ได้กระทำความผิด จึงเป็นการอุทธรณ์โต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นรับฟังตามคำรับสารภาพ ถือเป็นอุทธรณ์ในข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 25 ปี มิได้ลงโทษจำคุกตลอดชีวิตหรือประหารชีวิตอันจะทำให้ศาลอุทธรณ์มีอำนาจวินิจฉัยข้อเท็จจริงให้ได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 245 วรรคสอง แม้ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ดังกล่าวให้ก็เป็นการไม่ชอบ ฎีกาของจำเลยที่ 2 ที่ว่าพยานหลักฐานของโจทก์รับฟังลงโทษจำเลยที่ 2 ไม่ได้ จึงเป็นฎีกาในข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในชั้นอุทธรณ์ ต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15 จำเลยที่ 2 จึงเป็นผู้กระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 67, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 33 และริบของกลาง
จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ให้การปฏิเสธ
จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสี่มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 66 วรรคหนึ่ง (ที่ถูกมาตรา 15 วรรคสอง, 66 วรรคสอง) ประกอบด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 จำคุกจำเลยทั้งสี่ตลอดชีวิต จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 53 คงจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 25 ปี จำเลยที่ 1 และที่ 3 ให้การรับสารภาพชั้นจับกุมและชั้นสอบสวน เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้คนละ 1 ใน 3 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 53 คงจำคุกคนละ 13 ปี 4 เดือน ริบของกลาง
จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องเฉพาะจำเลยที่ 4 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ และจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า ในวันเวลาเกิดเหตุตามฟ้องเจ้าพนักงาน ป.ป.ส. ร่วมกันจับกุมจำเลยทั้งสี่พร้อมยึดเมทแอมเฟตามีนจำนวน 19,800 บาท น้ำหนัก 1,724.200 กรัม คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 538.248 กรัม กับโทรศัพท์เคลื่อนที่ ยี่ห้อโนเกีย 2 เครื่อง เป็นของกลาง มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ร่วมกันกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า ในส่วนของจำเลยที่ 2 ซึ่งให้การและนำสืบรับสารภาพความผิดตามฟ้องจนศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษแล้ว การที่จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ว่าไม่ได้กระทำความผิด จึงเป็นการอุทธรณ์โต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นรับฟังตามคำรับสารภาพของจำเลยที่ 2 ถือเป็นอุทธรณ์ในข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ในเมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 25 ปี มิได้ลงโทษจำคุกตลอดชีวิตหรือประหารชีวิต อันจะทำให้ศาลอุทธรณ์มีอำนาจวินิจฉัยข้อเท็จจริงให้ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 245 วรรคสอง เช่นนี้ แม้ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ดังกล่าวให้ก็เป็นการไม่ชอบ ฎีกาของจำเลยที่ 2 ที่ว่าพยานหลักฐานของโจทก์รับฟังลงโทษจำเลยที่ 2 ไม่ได้ จึงเป็นฎีกาในข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในชั้นอุทธรณ์ ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ข้อเท็จจริงรับฟังยุติว่า จำเลยที่ 2 กระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น คงมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 3 ว่า จำเลยที่ 1 และที่ 3 ร่วมกับจำเลยที่ 2 กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ โจทก์มีนายพิทักษ์กับนายก้องเจ้าพนักงาน ป.ป.ส. ผู้ร่วมจับกุมเบิกความเป็นประจักษ์พยานได้ความว่า นายพิทักษ์ทราบมาจากสายลับว่า มีหญิง 3 คน คือ จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ซึ่งเกี่ยวพันเป็นญาติพี่น้องกัน พักอาศัยอยู่ที่ซอยสวนเงินมีพฤติการณ์จำหน่ายเมทแอมเฟตามีนให้แก่ลูกค้าทั่วไปในเขตกรุงเทพมหานครจึงรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบและติดตามดูพฤติการณ์ ต่อมาในวันเกิดเหตุเวลา 13 นาฬิกา นายพิทักษ์ได้รับแจ้งจากสายลับว่าจำเลยทั้งสามดังกล่าวนัดส่งมอบเมทแอมเฟตามีนให้แก่ลูกค้าที่บริเวณลานจอดรถสวนสยาม จึงวางแผนจับกุมโดยมีเจ้าพนักงาน ป.ป.ส. กับเจ้าพนักงานตำรวจน้ำรวม 12 คน พากันไปซุ่มที่ลานจอดรถสวนสยามจนเวลาประมาณ 15 นาฬิกา ก็พบจำเลยที่ 3 มายืนพูดโทรศัพท์เคลื่อนที่อยู่บริเวณลานจอดรถด้านใน เหมือนรอใครอยู่ ครั้นเวลาประมาณ 16 นาฬิกา มีรถแท็กซี่แล่นเข้ามา 1 คัน ผู้โดยสารในรถ คือ จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ต่างลงจากรถเดินเข้าไปพูดคุยกับจำเลยที่ 3 จากนั้นจำเลยที่ 1 ส่งถุงพลาสติกสีฟ้าซึ่งรับมาจากจำเลยที่ 2 ขณะลงจากรถแท็กซี่ให้แก่จำเลยที่ 3 แล้วจำเลยทั้งสี่ยืนพูดคุยกันลักษณะกำลังรอบุคคลอื่นตามนัดหมาย นายพิทักษ์เห็นว่าไม่มีความเคลื่อนไหวอีก จึงสั่งให้นายก้องกับพวกแสดงตัวเข้าตรวจค้น พบเมทแอมเฟตามีนในถุงพลาสติกดังกล่าวจำนวน 99 ถุง ถุงละ 200 เม็ด รวม 19,800 เม็ด กับพบโทรศัพท์เคลื่อนที่ ยี่ห้อโนเกียที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 คนละ 1 เครื่อง จึงยึดไว้เป็นของกลาง เห็นว่า ประจักษ์พยานโจทก์ทั้งสองเบิกความสอดคล้องตรงกันในพฤติกรรมต่าง ๆ ของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ขณะมีการส่งมอบเมทแอมเฟตามีน และร่วมตรวจค้นยึดเมทแอมเฟตามีนของกลางได้ตรงที่เกิดเหตุ เชื่อว่า รู้เห็นเหตุการณ์อยู่ด้วยกันและเบิกความไปตามที่รู้เห็นจริง คำเบิกความจึงมีน้ำหนักรับฟังได้ ซึ่งเมื่อถูกแจ้งข้อหาและจับกุม จำเลยที่ 1 และที่ 3 ก็ให้การรับสารภาพ รวมทั้งเขียนคำรับสารภาพมอบให้แก่เจ้าพนักงานผู้จับกุมเช่นเดียวกับจำเลยที่ 2 ตามบันทึกการจับกุมเอกสารหมาย จ.1 และบันทึกคำรับสารภาพเอกสารหมาย จ.2 จ.3 และ จ.4 นอกจากนี้โจทก์ยังมีร้อยตำรวจโทนพพรพนักงานสอบสวนเบิกความว่า ในชั้นสอบสวนจำเลยที่ 1 และที่ 3 ให้การรับสารภาพเช่นเดียวกับจำเลยที่ 2 ตามบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนเอกสารหมาย จ.11 จ.12 และ จ.13 ร้อยตำรวจโทนพพรไม่เคยรู้จักจำเลยที่ 1 และที่ 3 ไม่มีเหตุระแวงว่าจะเบิกความและทำบันทึกคำให้การเป็นเท็จเพื่อปรักปรำจำเลยที่ 1 และที่ 3 พยานหลักฐานของโจทก์จึงรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยที่ 1 และที่ 3 ร่วมกับจำเลยที่ 2 กระทำความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามฟ้อง และสำหรับโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลางนั้นแม้โจทก์จะไม่มีประจักษ์พยานเบิกความยืนยันว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้ใช้ในการติดต่อจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน แต่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ต่างให้การไว้ในชั้นสอบสวนตามบันทึกคำให้การเอกสารหมาย จ.12 และ จ.13 ว่ามีไว้ใช้ติดต่อกับลูกค้าในการซื้อขายเมทแอมเฟตามีน เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ดังวินิจฉัยข้างต้นแล้วว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้การรับสารภาพความผิดต่อพนักงานสอบสวน กรณีจึงไม่มีเหตุผลที่พนักงานสอบสวนจะบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนให้ผิดไปจากที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 เต็มใจให้การ ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลางติดต่อลูกค้าในการซื้อขายเมทแอมเฟตามีน ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 3 และมีคำสั่งริบโทรศัพท์เคลื่อนที่จำนวน 2 เครื่อง ของกลาง ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 3 ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยที่ 4 ร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ด้วยหรือไม่ พยานหลักฐานของโจทก์ในส่วนของจำเลยที่ 4 ได้ความเพียงว่า จำเลยที่ 4 ร่วมนั่งรถแท็กซี่มากับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในวันเกิดเหตุแล้วมีพิรุธทำท่าจะเดินหนีแยกออกจากกลุ่มจำเลยอื่นขณะเจ้าพนักงานแสดงตัวเข้าตรวจค้นและจับกุม โดยตามทางสืบสวนก่อนวันเกิดเหตุไม่ปรากฏว่ามีจำเลยที่ 4 ร่วมเกี่ยวข้องกับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ทั้งจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ที่ให้การรับสารภาพก็ไม่ได้ให้การถึงจำเลยที่ 4 ว่า มีพฤติการณ์เกี่ยวพันอย่างใดในการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ประกอบกับจำเลยที่ 4 ให้การปฏิเสธตั้งแต่ชั้นจับกุมตลอดมาจนถึงชั้นพิจารณาเช่นนี้ เห็นว่า พยานหลักฐานของโจทก์ยังไม่พอให้รับฟังว่า จำเลยที่ 4 ร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 4 ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน