คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7695/2550

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

คดีเดิมโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยและเรียกค่าเสียหายอ้างว่าสัญญาเช่าที่ดินระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นโมฆะ เนื่องจากจำลยใช้อุบายหลอกลวงเป็นเหตุให้โจทก์สำคัญผิดในสาระสำคัญแห่งนิติกรรม ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ยกฟ้อง คดีอยู่ระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา ส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยและเรียกค่าเสียหายโดยอ้างว่าบัดนี้สัญญาเช่าระหว่างโจทก์กับจำเลยครบกำหนดระยะเวลา 3 ปี จึงสิ้นผลผูกพันแล้ว ข้ออ้างหรือประเด็นพิพาทที่ศาลต้องวินิจฉัยในคดีก่อนกับคดีนี้ไม่ใช่อย่างเดียวกัน ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงไม่เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท ส.ค.1 เลขที่ 13 หมู่ที่ 2 ตำบลกลางแดด อำเภอเมืองนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ โดยรับการให้จากพันเอกมีชัยบิดาโจทก์เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2532 นับแต่โจทก์ได้สิทธิครอบครองโจทก์มอบหมายให้พันเอกมีชัยเป็นผู้ดูแลรักษาผลประโยชน์ในที่ดินพิพาท เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2540 จำเลยทำสัญญาเช่าที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างกับพันเอกมีชัยเพื่อใช้ทำกิจการก่อสร้างอาคาร โรงงาน คลังสินค้า และที่อยู่อาศัย มีกำหนดระยะเวลา 20 ปี นับแต่วันที่ 1 มกราคม 2541 ถึงวันที่ 31 มกราคม 2560 โดยมิได้ทำการจดทะเบียนการเช่าไว้ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ สัญญาเช่าที่ดินพิพาทจึงมีผลผูกพันบังคับได้เพียง 3 ปี ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2543 เท่านั้น เมื่อถึงกำหนดระยะเวลาที่สัญญาเช่าสิ้นสุดลง จำเลยไม่ขนย้ายทรัพย์สินหรือรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยออกไปจากที่ดินพิพาทของโจทก์และจำเลยยังติดค้างค่าเช่าในปี 2542 และ 2543 โจทก์มีหนังสือบอกเลิกสัญญาเช่าและให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาทและให้ชำระค่าเช่าที่ค้างชำระ จำเลยได้รับหนังสือแล้วเพิกเฉย ถือว่าจำเลยผิดสัญญาและอยู่ในที่ดินพิพาทของโจทก์โดยละเมิด ขอให้บังคับจำเลยขนย้ายและรื้อถอนทรัพย์สินที่ปลูกสร้าง โกดังสินค้าออกไปจากที่ดินพิพาทแล้วส่งมอบที่ดินพิพาทพร้อมบ้านเลขที่ 89/2 ให้แก่โจทก์ในสภาพที่เรียบร้อย ห้ามจำเลยเข้าไปเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทและบ้านดังกล่าวอีกต่อไป ให้จำเลยชดใช้ค่าเช่าที่ค้างชำระ 2 ปี กับค่าเสียหายแก่โจทก์นับแต่วันสัญญาเช่าสิ้นผลใช้บังคับจนถึงวันฟ้องคิดเป็นเงิน 1,992,541.66 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 1,973,333.33 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 100,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะขนย้ายและรื้อถอนทรัพย์สินที่ปลูกสร้างออกไปจากที่ดินพิพาท
จำเลยให้การต่อสู้ไว้หลายประเด็นรวมถึงฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้อนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 วรรคสอง (1) ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์ไม่เป็นฟ้องซ้อนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 วรรคสอง (1) แต่ฟ้องโจทก์เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144 พิพากษายกฟ้องค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาล ให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่าฟ้องโจทก์เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144 หรือไม่ คดีเดิมซึ่งเป็นคดีหมายเลขแดงที่ 885/2544 ของศาลชั้นต้น มีพันเอกมีชัยเป็นโจทก์ที่ 1 โจทก์คดีนี้เป็นโจทก์ที่ 2 และจำเลยคดีนี้เป็นจำเลย โจทก์ทั้งสองดังกล่าวฟ้องว่าจำเลยใช้อุบายหลอกลวงโจทก์เพื่อให้ทำสัญญาเช่าที่ดินพิพาท จนเป็นเหตุให้โจทก์สำคัญผิดในสาระสำคัญของทรัพย์สินที่ให้เช่า สัญญาเช่าดังกล่าวจึงเป็นโมฆะ ขอให้พิพากษาว่าสัญญาเช่าเป็นโมฆะ และขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาทรวมทั้งทำที่ดินพิพาทให้มีสภาพเหมือนเดิมและให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืน คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา สำหรับคดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำสัญญาเช่าที่ดินพิพาทของโจทก์กับพันเอกมีชัยบิดาโจทก์ มีกำหนดระยะเวลา 20 ปี แต่มิได้จดทะเบียนการเช่าต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ สัญญาเช่าดังกล่าวจึงมีผลผูกพันเพียง 3 ปี บัดนี้ครบกำหนดระยะเวลาดังกล่าวแล้วจำเลยจึงไม่มีสิทธิอยู่ในที่พิพาทอีกต่อไป ขอให้ขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาทและเรียกค่าเสียหาย เห็นว่า คดีเดิมโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยและเรียกค่าเสียหายอ้างว่าสัญญาเช่าที่ดินระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นโมฆะ เนื่องจากจำเลยใช้อุบายหลอกลวงเป็นเหตุให้โจทก์สำคัญผิดในสาระสำคัญแห่งนิติกรรม สภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างซึ่งอาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาในคดีเดิมคือ จำเลยได้กระทำกลฉ้อฉลโจทก์เป็นเหตุให้โจทก์สำคัญผิดในสาระสำคัญแห่งนิติกรรมหรือไม่ แต่ในคดีนี้โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยและเรียกค่าเสียหายโดยอ้างว่าบัดนี้สัญญาเช่าระหว่างโจทก์กับจำเลยครบกำหนดระยะเวลา 3 ปี จึงสิ้นผลผูกพันแล้ว สภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างอันเป็นหลักแห่งข้อหา เป็นเรื่องที่สัญญาเช่าที่พิพาทมีผลบังคับเพียงใด และสิ้นผลผูกพันแล้วหรือไม่ ข้ออ้างหรือประเด็นพิพาทที่ศาลต้องวินิจฉัยในคดีก่อนกับคดีนี้ไม่ใช่อย่างเดียวกัน ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงไม่เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำอันเกี่ยวกับคดีหรือประเด็นที่ได้วินิจฉัยชี้ขาดแล้วตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144 โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 วินิจฉัยว่า คดีสำนวนนี้ไม่เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำกับคดีหมายเลขแดงที่ 885/2544 ของศาลชั้นต้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นนี้ให้เป็นพับ

Share