คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5383/2551

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้เลื่อนคดี งดสืบพยานจำเลยทั้งสอง และนัดฟังคำพิพากษา เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา แม้จำเลยทั้งสองจะมิได้โต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นดังกล่าว แต่การที่จำเลยทั้งสองยื่นอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2543 ถือได้ว่าจำเลยทั้งสองได้โต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้งดสืบพยานจำเลยทั้งสองตาม ป.วิ.พ. มาตรา 226 (2) แล้ว จำเลยทั้งสองจึงมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งให้งดสืบพยานของศาลชั้นต้นได้ แต่อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองเกี่ยวกับคำสั่งให้งดสืบพยานของศาลชั้นต้นนั้น มิได้กล่าวถึงข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายให้ชัดแจ้งอย่างใด เพียงแต่กล่าวอ้างถึงอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสอง ฉบับลงวันที่ 20 ธันวาคม 2543 จึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 225 วรรคหนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองนั้นชอบแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระเงินจำนวน 2,096,205.83 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14.5 ต่อปี ของต้นเงิน 2,000,928.73 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ โดยดอกเบี้ยข้างต้นให้เปลี่ยนไปตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย หากจำเลยทั้งสองไม่ชำระให้ยึดที่ดิน น.ส.3 ก. เลขที่ 1509 ตำบลหินกอง อำเภอเมืองราชบุรี จังหวัดราชบุรี พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์ หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินของจำเลยทั้งสองออกขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ
จำเลยทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้องโจทก์
ระหว่างพิจารณาศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยทั้งสองเลื่อนคดีและถือว่าจำเลยทั้งสองไม่ติดใจสืบพยาน ก่อนวันนัดฟังคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยทั้งสองอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 2,096,205.83 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14.5 ต่อปี ของต้นเงิน 2,000,928.73 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (วันที่ 22 มีนาคม 2543) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยทั้งสองไม่ชำระหรือชำระไม่ครบให้ยึดที่ดิน น.ส.3 ก. เลขที่ 1509 ตำบลหินกอง อำเภอเมืองราชบุรี จังหวัดราชบุรี พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์ หากได้เงินสุทธิไม่พอให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ 2 ออกขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์จนครบถ้วน ให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 2,000 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายกอุทธรณ์คำสั่งและคำพิพากษาของจำเลยทั้งสองให้คืนค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์ทั้งหมดให้แก่จำเลยทั้งสอง ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์นอกจากนี้ให้เป็นพับ
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองประการแรกว่าคำสั่งงดสืบพยานจำเลยของศาลชั้นต้นเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาที่ต้องห้ามอุทธรณ์หรือไม่ เห็นว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยทั้งสองเลื่อนคดีในวันนัดสืบพยานจำเลยเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2543 โดยให้ถือว่าจำเลยทั้งสองไม่ติดใจสืบพยาน คดีเสร็จการพิจารณาและนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 28 ธันวาคม 2543 การนัดสืบพยานจำเลยเป็นกระบวนการในชั้นพิจารณาที่มิได้เป็นการวินิจฉัยชี้ขาดคดี คำสั่งไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีและงดสืบพยานจำเลยทั้งสองของศาลชั้นต้นดังกล่าวจึงเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา แม้จำเลยทั้งสองจะมิได้โต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นดังกล่าว แต่การที่จำเลยทั้งสองยื่นอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2543 ถือได้ว่าจำเลยทั้งสองได้โต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้งดสืบพยานจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226 (2) แล้ว จำเลยทั้งสองจึงมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งให้งดสืบพยานของศาลชั้นต้นได้ ต่อมาหลังจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา จำเลยทั้งสองยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้น แต่อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองเกี่ยวกับคำสั่งให้งดสืบพยานของศาลชั้นต้นนั้นมิได้กล่าวถึงข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายให้ชัดแจ้งแต่อย่างใดเพียงแต่กล่าวอ้างถึงอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองฉบับลงวันที่ 20 ธันวาคม 2543 จึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 225 วรรคหนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยนั้นจึงชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของจำเลยทั้งสองข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่าให้บังคับไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share