คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4823/2551

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

พินัยกรรมที่ผู้ตายทำมีข้อความว่า ผู้ตายขอทำคำสั่งเป็นพินัยกรรมไว้ว่าถ้าผู้ตายถึงแก่กรรมเมื่อใด ขอมอบทรัพย์สินของผู้ตายทั้งหมดบรรดาที่มีอยู่ในขณะถึงแก่กรรมให้ท่านเจ้าคุณ ญ. ผู้เป็นพี่ชายของผู้ตายองค์เดียว แม้พินัยกรรมฉบับดังกล่าวจะมีข้อกำหนดเงื่อนไขให้ผู้รับพินัยกรรมจำหน่ายทรัพย์สินโดยข้อ 1 ให้ปฏิสังขรณ์พระธาตุวัดไชยมงคล ข้อ 2 ให้ปฏิสังขรณ์โบสถ์ 1 หลัง (วัดไชยมงคลก็ได้) ข้อ 3 ถ้าเหลือจากสองข้อข้างต้น สุดแท้แต่ท่านเจ้าคุณจะจัดการอย่างไรต่อไปก็ตาม ก็ถือว่าเงื่อนไขนั้นเป็นอันไม่มีเลยตาม ป.พ.พ. มาตรา 1707 พินัยกรรมในส่วนที่ผู้ตายยกทรัพย์สินให้แก่ท่านเจ้าคุณ ญ. จึงไม่เป็นโมฆะใช้บังคับได้ตามกฎหมาย

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสองฟ้องขอให้มีคำสั่งเพิกถอนจำเลยที่ 1 จากการเป็นผู้จัดการมรดกของพระธรรมโมลี ให้จำเลยทั้งสองส่งมอบโฉนดที่ดินเลขที่ 527, 528, 1399 ตำบลบ่อยาง อำเภอเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา พร้อมสมุดบัญชีเงินฝากทุกบัญชีที่มีชื่อนางเต็กเลี่ยมหรือรุ่งเรืองคืนแก่โจทก์ทั้งสอง ห้ามจำเลยทั้งสองยุ่งเกี่ยวกับที่ดินทั้ง 3 แปลง ดังกล่าว
จำเลยทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้องและฟ้องแย้งและแก้ไขฟ้องแย้งขอให้มีคำสั่งเพิกถอนโจทก์ที่ 1 จากการเป็นผู้จัดการมรดกของนางเต็กเลี่ยมหรือรุ่งเรืองตามคำสั่งของศาลจังหวัดสงขลาในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 2782/2541 ให้โจทก์ทั้งสองส่งมอบเงินค่าเช่าอาคารจำนวน 390,000 บาท และค่าเช่าอีกเดือนละ 30,000 บาท นับแต่วันถัดจากวันยื่นคำให้การพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ของเงินต้นที่เรียกเก็บไว้ทั้งสิ้น ห้ามโจทก์ทั้งสองและบริวารเข้ายุ่งเกี่ยวกับอาคารบนที่ดินโฉนดเลขที่ 527, 528, 1399 ตำบลบ่อยาง อำเภอเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา และให้ที่ดินทั้ง 3 แปลง ดังกล่าวพร้อมสมุดบัญชีเงินฝากของนางเต็กเลี่ยมหรือรุ่งเรืองเป็นมรดกตามพินัยกรรมตกทอดแก่พระธรรมโมลีและให้มรดกของพระธรรมโมลีตกเป็นสมบัติของจำเลยที่ 1
โจทก์ทั้งสองให้การแก้ฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 527, 528, 1399 ตำบลบ่อยาง อำเภอเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา และสมุดบัญชีเงินฝากธนาคารซึ่งเป็นทรัพย์มรดกของนางเต็กเลี่ยมหรือรุ่งเรือง ตกเป็นของพระญาณโมลีหรือพระธรรมโมลี ผู้รับพินัยกรรม ทรัพย์มรดกของพระธรรมโมลีตกเป็นสมบัติของจำเลยที่ 1 ให้โจทก์ที่ 2 ชำระเงินจำนวน 390,000 บาท และค่าเช่าอาคารในที่ดินทั้ง 3 แปลง ดังกล่าวซึ่งโจทก์ที่ 2 เก็บจากผู้เช่านับแต่วันถัดจากวันฟ้องแย้งพร้อมดอกเบี้ยผิดนัดอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของเงินต้นทั้งหมดนับแต่วันถัดจากวันฟ้องแย้งจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลยที่ 1 (ฟ้องแย้งวันที่ 14 ตุลาคม 2542) แต่ให้หักเงินจำนวน 53,852 บาท ออกจากเงินค่าเช่าที่โจทก์ที่ 2 ต้องรับผิดนับแต่วันถัดจากวันฟ้องแย้ง ห้ามโจทก์ที่ 2 และบริวารเกี่ยวข้องกับอาคารในที่ดินทั้ง 3 แปลงดังกล่าว คำขออื่นตามฟ้องแย้งนอกจากนี้ให้ยกและให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งสอง ให้โจทก์ที่ 2 ในฐานะส่วนตัวใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลยทั้งสอง โดยกำหนดค่าทนายความ 80,000 บาท
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายืน ให้โจทก์ที่ 2 ในฐานะส่วนตัวใช้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์แทนจำเลยทั้งสอง โดยกำหนดค่าทนายความ 30,000 บาท
โจทก์ทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติได้ว่า นางเต็กเลี่ยมหรือรุ่งเรือง ผู้ตาย เป็นบุตรของนายเส้งหรือเส็ง กับนางเลียนหรือโป้ยเลียน ผู้ตายมีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน 3 คน คือนางเต็กฮั้ว นายเกตุหรือเต็กห้องหรือพระญาณโมลีหรือพระธรรมโมลี และผู้ตาย ส่วนโจทก์ที่ 2 เป็นหลานของผู้ตาย โดยนายระวิบิดาของโจทก์ที่ 2 เป็นบุตรของนางเต็กฮั้ว มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ทั้งสองว่า พินัยกรรมที่ว่า ผู้ตายยกทรัพย์สินให้แก่พระธรรมโมลีมีผลใช้บังคับได้หรือไม่ เห็นว่า ตามพินัยกรรมมีข้อความว่า “ข้าพเจ้านางรุ่งเรือง (นางเต็กเลี่ยม) (ผู้ตาย) ขอทำคำสั่งเป็นพินัยกรรมไว้ว่า ถ้าข้าพเจ้าถึงแก่กรรมเมื่อใด ข้าพเจ้าขอมอบทรัพย์สินของข้าพเจ้าทั้งหมดบรรดาที่มีอยู่ในขณะถึงแก่กรรมให้ท่านเจ้าคุณพระญาณโมลี (พระธรรมโมลี) ผู้เป็นพี่ชายของข้าพเจ้าองค์เดียว ดังรายละเอียดต่อไปนี้ 1.ให้ปฏิสังขรณ์พระธาตุวัดไชยมงคล 2.ให้ปฏิสังขรณ์โบสถ์ 1 หลัง (วัดไชยมงคลก็ได้) 3.ถ้าเหลือจากสองข้อข้างต้น สุดแท้แต่ท่านเจ้าคุณจะจัดการอย่างไรต่อไป ทรัพย์สินของข้าพเจ้าทั้งหมด ญาติพี่น้องอื่นใดจะมาเรียกร้องขอส่วนแบ่งปันทรัพย์มรดกของข้าพเจ้ามิได้เลย ทรัพย์สินทั้งหมดข้าพเจ้าได้ทำบัญชีแนบไว้กับพินัยกรรมมอบทรัพย์สินฉบับนี้แล้ว…” แม้พินัยกรรมฉบับดังกล่าวจะมีข้อกำหนดเงื่อนไขให้ผู้รับพินัยกรรมจำหน่ายทรัพย์สิน โดยข้อ 1 ให้ปฏิสังขรณ์พระธาตุวัดไชยมงคล ข้อ 2 ให้ปฏิสังขรณ์โบสถ์ 1 หลัง (วัดไชยมงคลก็ได้) ข้อ 3 ถ้าเหลือจากสองข้อข้างต้น สุดแท้แต่ท่านเจ้าคุณจะจัดการอย่างไรต่อไป ซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1707 บัญญัติไว้ว่า “ถ้าข้อกำหนดพินัยกรรมตั้งผู้รับพินัยกรรมโดยมีเงื่อนไขว่าให้ผู้รับพินัยกรรมจำหน่ายทรัพย์สินที่ยกให้โดยพินัยกรรมนั้นแก่บุคคลอื่น ให้ถือว่าเงื่อนไขนั้นเป็นอันไม่มีเลย” ดังนั้น ข้อกำหนดในพินัยกรรม ข้อ 1 ถึงข้อ 3 จึงไม่มีผลโดยให้ถือว่าเงื่อนไขนั้นเป็นอันไม่มีเลย พินัยกรรมในส่วนที่นางเต็กเลี่ยมหรือรุ่งเรือง ผู้ตายยกทรัพย์สินให้แก่พระธรรมโมลี จึงไม่เป็นโมฆะใช้บังคับได้ตามกฎหมาย เมื่อนางเต็กเลี่ยมหรือรุ่งเรืองถึงแก่ความตาย ทรัพย์มรดกของนางเต็กเลี่ยมหรือรุ่งเรืองจึงตกได้แก่พระธรรมโมลี ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ทั้งสองฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ทั้งสองต่อไปว่า หลังจากนางเต็กเลี่ยมหรือรุ่งเรืองถึงแก่ความตาย พระธรรมโมลีไม่เคยไปจดทะเบียนเปลี่ยนใส่ชื่อพระธรรมโมลีเป็นเจ้าของที่ดินทั้ง 3 แปลง ดังนั้น ที่ดินทั้ง 3 แปลง จึงไม่ใช่ทรัพย์มรดกของพระธรรมโมลี เห็นว่า เมื่อนางเต็กเลี่ยมหรือรุ่งเรืองถึงแก่ความตาย ทรัพย์มรดกของนางเต็กเลี่ยมหรือรุ่งเรืองก็ตกเป็นของพระธรรมโมลีตามพินัยกรรม นอกจากนี้พระธรรมโมลีได้ยื่นคำร้องขอตั้งผู้จัดการมรดก และศาลได้มีคำสั่งตั้งพระธรรมโมลีเป็นผู้จัดการมรดกของนางเต็กเลี่ยมหรือรุ่งเรือง ตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 46/2538 ของศาลชั้นต้นแล้ว แม้พระธรรมโมลียังไม่ได้ไปจดทะเบียนใส่ชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินก็ไม่ทำให้พระธรรมโมลีเสียสิทธิไปอย่างใดไม่ และยังปรากฏว่า ได้มีการจดทะเบียนใส่ชื่อพระธรรมโมลีในฐานะผู้จัดการมรดกเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินทั้ง 3 แปลงแล้วเมื่อพระธรรมโมลีมรณภาพ ที่ดินทั้ง 3 แปลง จึงตกเป็นของจำเลยที่ 1 ฎีกาของโจทก์ทั้งสองข้อนี้ ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share