คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 662/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

คำร้องขอพิจารณาคดีใหม่ของจำเลยอ้างว่า จำเลยเพิ่งทราบว่าถูกโจทก์ฟ้องในวันที่จำเลยมาขอตรวจสำนวนที่ศาล ย่อมถือได้ว่าพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ดังกล่าวสิ้นสุดลงแล้วในวันที่จำเลยทราบว่าถูกโจทก์ฟ้อง กรณีตกอยู่ในบังคับ ป.วิ.พ.มาตรา 208 วรรคแรก ที่จำเลยต้องยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่พฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้สิ้นสุดลงเมื่อจำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ล่วงพ้นระยะเวลาตามที่กฎหมายบัญญัติไว้แล้ว จำเลยจึงไม่มีสิทธิขอให้พิจารณาใหม่

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยออกจากที่ดินและบ้านพิพาทของโจทก์และเรียกค่าเสียหายเดือนละ 10,000 บาท คิดถึงวันฟ้องเป็นเวลา 1 ปี 6 เดือน เป็นเงิน 180,000 บาท กับค่าเสียหายนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปอีกเดือนละ 10,000 บาท จนกว่าจำเลยจะออกไปจากที่ดินและบ้านพิพาท จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณาศาลชั้นต้นพิจารณาคดีไปฝ่ายเดียวแล้วพิพากษาให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่ 158270 ตำบลลาดพร้าวอำเภอบางกะปิ กรุงเทพมหานคร และสิ่งปลูกสร้างเลขที่ 39/5ถนนลาดพร้าว แขวงลาดพร้าว เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร ของโจทก์กับให้จำเลยชำระค่าเสียหายจำนวน 90,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยและค่าเสียหายเดือนละ 5,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะออกไปจากที่ดินและบ้านพิพาทแก่โจทก์ ศาลชั้นต้นส่งคำบังคับให้จำเลยทราบโดยวิธีปิดหมายเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2533 แต่จำเลยไม่ปฏิบัติตาม วันที่ 28 สิงหาคม 2533 จำเลยมาตรวจสำนวนที่ศาลชั้นต้น แล้วต่อมา วันที่ 21 กันยายน 2533 จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ว่า เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2533 โจทก์ได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปทำการบังคับขับไล่จำเลย แล้ววันที่ 28สิงหาคม 2533 จำเลยมาตรวจสำนวนที่ศาลชั้นต้นจึงทราบว่าถูกโจทก์ฟ้องจำเลยไม่เคยทราบว่าถูกโจทก์ ฟ้องมาก่อน จึงมิได้จงใจขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา หากจำเลยได้ต่อสู้คดีและมีโอกาสนำพยานหลักฐานเข้าสืบมีโอกาสชนะคดีเพราะการซื้อขายบ้านและที่ดินให้โจทก์เป็นนิติกรรมอำพรางการกู้ยืมเงิน โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลย
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่โดยอ้างว่าเพิ่งทราบว่าถูกฟ้องเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2533จำเลยต้องยื่นคำร้องภายใน 15 วัน นับแต่วันดังกล่าว การที่จำเลยยื่นคำร้องในวันนี้ (21 กันยายน 2533) จึงเกินกำหนดเวลาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 แล้ว ให้ยกคำร้องจำเลยและให้ค่าคำร้องเป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้จำเลยชำระค่าทนายความชั้นอุทธรณ์1,000 บาท แทนโจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…เห็นว่าตามคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยอ้างว่า จำเลยไม่ทราบว่าถูกฟ้อง เพราะการส่งหมายเรียกสำเนาคำฟ้อง และคำบังคับมิได้ส่งไปยังภูมิลำเนาของจำเลยการส่งหมายไม่ชอบมาแต่ต้น จำเลยเพิ่งทราบว่าถูกโจทก์ฟ้องเมื่อจำเลยขอตรวจสำนวนที่ศาลนั้น เป็นการอ้างว่าจำเลยไม่สามารถยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ได้ภายในสิบห้าวันนับจากวันที่ได้ส่งคำบังคับตามคำพิพากษาโดยมีพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ แต่การที่จำเลยทราบว่าถูกโจทก์ฟ้องในวันที่ขอตรวจสำนวนที่ศาลนั้นย่อมถือได้ว่า พฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ดังกล่าวสิ้นสุดลงแล้วในวันที่จำเลยทราบว่าถูกโจทก์ฟ้อง กรณีก็ตกอยู่ในบังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 วรรคแรก ที่จำเลยต้องยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่พฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้สิ้นสุดลง ดังนี้ หากจะมีพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ดังที่จำเลยกล่าวอ้าง จำเลยก็ยังต้องยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่จำเลยทราบว่าถูกโจทก์ฟ้อง คือภายในวันที่ 12 กันยายน 2533อันเป็นกำหนดเวลาที่อาจจะยื่นได้เป็นอย่างช้าที่สุด แต่จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ในวันที่ 21 กันยายน 2533 ซึ่งล่วงพ้นระยะเวลาตามที่กฎหมายบัญญัติไว้แล้ว จำเลยจึงไม่มีสิทธิขอให้พิจารณาใหม่ ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยและศาลอุทธรณ์พิพากษายืนในผลนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย คดีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาข้ออื่นของจำเลย ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share