แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คำร้องขอให้พิจารณาการประเมินใหม่ต้องเขียนลงในแบบพิมพ์และผู้รับประเมินต้องลงนามตามที่พ.ร.บ.ภาษีโรงเรือนและที่ดิน ฯ มาตรา 26 กำหนด แต่ถ้าต้องการให้ตัวแทนลงนามแทนก็ต้องมอบฉันทะเป็นลายลักษณ์อักษรตามมาตรา 37 จากข้อเท็จจริง ช. ซึ่งเป็นผู้จัดการได้ยื่นคำร้องขอให้พิจารณาการประเมินใหม่ในนามโจทก์โดยไม่ปรากฏว่า ช. เป็นผู้แทนซึ่งมีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ และได้รับมอบฉันทะเป็นลายลักษณ์อักษรให้ลงนามเป็นผู้ยื่นคำร้องขอฯแทนโจทก์ ทั้งเป็นกรณีที่โจทก์ไม่อาจให้สัตยาบันในภายหลังได้ จึงถือว่าโจทก์ยังไม่ได้ยื่นคำร้องขอให้พิจารณาการประเมินใหม่ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร ฯ มาตรา 7 (1) และมาตรา 8
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดินประจำปีภาษี 2548 ของจำเลยตามใบแจ้งรายการประเมิน (ภ.ร.ด.8) เล่มที่ 1 เลขที่ 3 ลงวันที่ 24 มกราคม 2549 และเพิกถอนคำชี้ขาดตามใบแจ้งคำชี้ขาดตามใบแจ้งคำชี้ขาด (ภ.ร.ด.11) เล่มที่ 1 ลงวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2549 ให้จำเลยคืนเงินภาษีโรงเรือนและที่ดินแก่โจทก์จำนวน 56,100 บาท ภายใน 3 เดือน นับแต่วันที่มีคำพิพากษาถึงที่สุด หากไม่คืนภายในกำหนดให้จำเลยชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันครบกำหนด 3 เดือน นับแต่วันที่มีคำพิพากษาถึงที่สุดจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้เพิกถอนการประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดินของจำเลยตามใบแจ้งรายการประเมินประจำปีภาษี 2548 เล่มที่ 1 เลขที่ 3 ลงวันที่ 24 มกราคม 2549 และเพิกถอนใบแจ้งคำชี้ขาด เล่มที่ 1 เลขที่ 01 ลงวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2549 ให้จำเลยคืนเงินค่าภาษีจำนวน 46,100 บาท ภายในกำหนด 3 เดือน นับแต่วันที่มีคำพิพากษาถึงที่สุด หากไม่คืนภายในกำหนดให้ชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันครบกำหนด 3 เดือน จนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความให้เป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเนื่องจากไม่ได้ยื่นคำร้องขอพิจารณาการประเมินใหม่หรือไม่ เห็นว่า คำร้องขอให้พิจารณาการประเมินใหม่ต้องเขียนลงในแบบพิมพ์และผู้รับประเมินต้องลงนามตามที่พระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ.2475 มาตรา 26 กำหนด และหากผู้รับประเมินต้องการให้ตัวแทนลงนามแทนก็ต้องมอบฉันทะเป็นลายลักษณ์อักษร ทั้งนี้ตามพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ.2475 มาตรา 37 แต่จากทางนำสืบของโจทก์ในประเด็นนี้มีนายชัยวัฒน์มาเบิกความว่า นายชัยวัฒน์เป็นผู้จัดการส่วนบริการลูกค้า จังหวัดลำพูน ได้รับมอบอำนาจให้กระทำการแทนโจทก์ในกิจการทั้งหมดและกิจการต่อเนื่องในพื้นที่จังหวัดลำพูน และได้ยื่นคำร้องขอให้พิจารณาการประเมินใหม่ในนามของโจทก์ มิได้กระทำในฐานะส่วนตัวแต่อย่างใด ซึ่งตามเอกสารที่นายชัยวัฒน์ได้ลงนามเป็นผู้ยื่นคำร้องขอให้พิจารณาการประเมินใหม่ในนามโจทก์โดยไม่ปรากฏว่านายชัยวัฒน์เป็นผู้แทนซึ่งมีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ และไม่ปรากฏว่านายชัยวัฒน์ได้รับมอบฉันทะเป็นลายลักษณ์อักษรให้ลงนามเป็นผู้ยื่นคำร้องขอให้พิจารณาการประเมินใหม่แทนโจทก์ ทั้งเป็นกรณีที่โจทก์ไม่อาจให้สัตยาบันในภายหลังได้ ส่วนที่นายชัยวัฒน์และนายทรงวุฒิ ผู้จัดการศูนย์บริหารงานกฎหมายเชียงใหม่ และเป็นผู้รับมอบอำนาจของโจทก์ เบิกความยืนยันว่านายชัยวัฒน์กระทำการในนามของโจทก์ และเป็นการกระทำตามที่ได้รับมอบอำนาจจากโจทก์โดยอ้างสำเนาคำสั่งของโจทก์ที่ รบ.55/2546 เรื่อง มอบอำนาจให้ผู้บริหารปฏิบัติการแทนกรรมการผู้จัดการใหญ่ ซึ่งมีนายอรัญรักษาการกรรมการผู้จัดการใหญ่ เป็นผู้สั่งนั้น ก็ปรากฏตามหนังสือรับรองและหนังสือมอบอำนาจว่า นายธีรวิทย์ เป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ของโจทก์มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ เมื่อโจทก์ไม่ได้นำสืบว่านายอรัญเป็นผู้มีอำนาจออกคำสั่งดังกล่าวแทนโจทก์ได้จริงหรือไม่เพียงใด เอกสารดังกล่าวจึงไม่อาจรับฟังได้ กรณีถือว่าโจทก์ยังไม่ได้ยื่นคำร้องขอให้พิจารณาการประเมินใหม่ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอาการและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ.2528 มาตรา 7 (1) และมาตรา 41 กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยในประเด็นอื่นอีกต่อไปเพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง ที่ศาลภาษีอากรกลางพิพากษามานั้น ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยในข้อนี้ฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ