แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
การที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์เพราะเห็นว่าโจทก์จงใจไม่มาศาลในวันนัดสืบพยานโจทก์นั้น เป็นการยกฟ้องตาม ป.วิ.อ. มาตรา 166 วรรคแรก ประกอบด้วยมาตรา 181 ดังนั้น เมื่อข้อเท็จจริงในสำนวนความปรากฏว่าศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2545 โจทก์มายื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนคำพิพากษาดังกล่าว ซึ่งมีผลเท่ากับเป็นการขอให้ยกคดีขึ้นพิจารณาใหม่เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2545 หลังจากศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องเพียง 7 วัน ยังไม่เกิน 15 วัน นับแต่วันศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ทั้งคำร้องของโจทก์ก็ได้แสดงเหตุยืนยันว่าโจทก์ได้มาศาลตามกำหนดนัดแล้วเพียงแต่โจทก์ยังติดการดำเนินคดีอาญาอื่น ซึ่งศาลได้นัดพิจารณาไว้ในวันเวลาเดียวกันก่อน เสร็จแล้วจึงจะมาดำเนินคดีนี้ต่อไป ซึ่งหากเป็นความจริงตามคำร้องก็นับว่ามีเหตุสมควรที่โจทก์ไม่ได้มาดำเนินคดีนี้ตามกำหนดนัด ศาลชอบที่จะไต่สวนคำร้องของโจทก์เสียก่อน จึงจะวินิจฉัยได้ว่าที่โจทก์ไม่มาดำเนินคดีนี้ตามกำหนดนัดมีเหตุสมควรหรือไม่ การที่ศาลล่างทั้งสองด่วนวินิจฉัยสั่งยกคำร้องของโจทก์โดยไม่ไต่สวนให้ได้ความจริงเสียก่อน จึงไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 166 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 181
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80 จำเลยให้การปฏิเสธ ระหว่างสืบพยานโจทก์ ศาลชั้นต้นเห็นว่า โจทก์ไม่มาศาลตามกำหนดนัด พิพากษายกฟ้อง โจทก์ยื่นคำร้องว่าศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาผิดระเบียบ ขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาและนัดสืบพยานโจทก์ต่อไป
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คำสั่งศาลชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา โดยอัยการสูงสุดรับรองให้ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในสำนวนได้ความว่า โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2542 ศาลชั้นต้นนัดสืบพยานโจทก์วันที่ 29 ธันวาคม 2542 ถึงวันนัดไม่มีการสืบพยานโจทก์เนื่องจากพยานโจทก์ไม่มาศาลและจำเลยยังไม่มีทนายความ ต่อมามีการนัดสืบพยานโจทก์อีก 2 นัด สืบพยานโจทก์ได้ 1 ปาก โจทก์แถลงขอส่งประเด็นไปสืบพยานโจทก์จำนวน 5 ปาก ยังศาลอื่น 2 ศาลแต่สามารถสืบพยานโจทก์ได้เพียง 1 ปาก ในวันนัดฟังประเด็นกลับโจทก์แถลงขอสืบพยานโจทก์ต่อ ศาลชั้นต้นนัดสืบพยานโจทก์ต่อวันที่ 2 มีนาคม 2544 เมื่อถึงวันนัดโจทก์ขอเลื่อนคดีเนื่องจากไม่มีพยานโจทก์มาศาล ภายหลังจากนั้นโจทก์ขอเลื่อนคดีอีก 2 นัด ในวันที่ 10 ตุลาคม 2544 จึงสืบพยานโจทก์ได้อีก 1 ปาก แล้วโจทก์ขอเลื่อนไปสืบพยานโจทก์ต่อในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2545 ครั้นถึงวันนัดโจทก์ขอเลื่อนคดีอีกอ้างว่ายังตามตัวพยานไม่ได้ จำเลยคัดค้านว่าโจทก์ขอเลื่อนคดีด้วยเหตุที่ไม่สามารถตามพยานมาศาลได้หลายนัดแล้ว ขอให้ศาลชั้นต้นงดสืบพยานโจทก์ที่ไม่สามารถตามตัวมาได้ ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่า โจทก์ยังมีพนักงานสอบสวนที่สามารถนำมาศาลได้จึงอนุญาตให้เลื่อนไปนัดสืบพนักงานสอบสวนกับพยานโจทก์ที่เหลือในวันที่ 18 มีนาคม 2545 เวลา 9 นาฬิกา ครั้นถึงวันนัดโจทก์ยื่นคำร้องที่แผนกรับฟ้องของศาลชั้นต้นเมื่อเวลา 9 นาฬิกา โดยในคำร้องมีใจความว่า โจทก์จะต้องดำเนินคดีอื่นซึ่งศาลชั้นต้นได้นัดสืบพยานโจทก์และนัดพร้อมไว้ในวันเวลาเดียวกันกับคดีนี้ให้เสร็จก่อนแล้วจึงจะมาดำเนินคดีนี้ต่อไป ต่อมาเวลา 9.30 นาฬิกา เจ้าหน้าที่ศาลรายงานต่อศาลที่เป็นผู้พิจารณาคดีนี้ว่าได้โทรศัพท์ติดต่อโจทก์แล้วโจทก์ยังไม่เข้าห้องพิจารณา ครั้นเวลา 9.40 นาฬิกา ศาลออกนั่งพิจารณาคดีนี้ มีจำเลยและทนายจำเลยอยู่ในห้องพิจารณา จำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งงดสืบพยานโจทก์ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า โจทก์จงใจไม่มาศาลตามกำหนดนัดจึงพิพากษายกฟ้องต่อมาในวันที่ 25 มีนาคม 2545 โจทก์ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นมีใจความว่า โจทก์ได้มาศาลตามกำหนดนัดแล้ว แต่โจทก์ต้องไปดำเนินคดีอาญาเรื่องอื่นที่ศาลนั้นนัดไว้วันเวลาเดียวกันกับคดีนี้ก่อนแล้วจึงจะมาดำเนินคดีนี้ต่อไป ทั้งนี้โจทก์ได้ยื่นคำร้องแจ้งให้ศาลทราบด้วยแล้ว ฉะนั้นที่ศาลพิพากษายกฟ้องจึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ ขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนคำพิพากษาที่ยกฟ้องโจทก์นั้นเสีย แล้วดำเนินการสืบพยานโจทก์ต่อไป ศาลชั้นต้นพิจารณาคำร้องของโจทก์แล้วมีคำสั่งว่าคำสั่งศาลชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่โจทก์ฎีกาขึ้นมาว่า คำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งคำร้องของโจทก์ดังกล่าวเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า การที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์เพราะเห็นว่าโจทก์จงใจไม่มาศาลในวันนัดสืบพยานโจทก์นั้นเป็นการยกฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 166 วรรคแรก ประกอบด้วยมาตรา 181 ดังนั้น เมื่อข้อเท็จจริงในสำนวนความปรากฏว่า ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2545 โจทก์มายื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนคำพิพากษาดังกล่าว ซึ่งมีผลเท่ากับเป็นการขอให้ยกคดีขึ้นพิจารณาใหม่เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2545 หลังจากศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องเพียง 7 วัน ยังไม่เกิน 15 วัน นับแต่วันศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ทั้งคำร้องของโจทก์ก็ได้แสดงเหตุยืนยันว่าโจทก์ได้มาศาลตามกำหนดนัดแล้ว เพียงแต่โจทก์ยังติดการดำเนินคดีอาญาอื่น ซึ่งศาลได้นัดพิจารณาไว้ในวันเวลาเดียวกันก่อน เสร็จแล้วจึงจะมาดำเนินคดีนี้ต่อไป ซึ่งหากเป็นความจริงตามคำร้องก็นับว่ามีเหตุสมควรที่โจทก์ไม่ได้มาดำเนินคดีนี้ตามกำหนดนัด ศาลชอบที่จะไต่ส่วนคำร้องของโจทก์เสียก่อนจึงจะวินิจฉัยได้ว่าที่โจทก์ไม่มาดำเนินคดีนี้ตามกำหนดนัดมีเหตุสมควรหรือไม่ การที่ศาลล่างทั้งสองด่วนวินิจฉัยสั่งคำร้องของโจทก์โดยไม่ไต่สวนให้ได้ความจริงเสียก่อนจึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 166 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 181 ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษาให้ยกคำสั่งของศาลชั้นต้นและคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 1 ให้ศาลชั้นต้นทำการไต่สวนคำร้องของโจทก์ลงวันที่ 25 มีนาคม 2545 แล้วมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดี