คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3555/2547

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

การที่จำเลยที่ 1 มีเมทแอมเฟตามีน 101 เม็ด แล้วจะสันนิษฐานว่าจำเลยที่ 1 มีไว้เพื่อจำหน่ายนั้น ย่อมเป็นข้อสันนิษฐานอันเป็นผลร้ายกับจำเลยที่ 1 โจทก์มีภาระการพิสูจน์ให้ได้ความแจ้งชัดโดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยที่ 1 มีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษฯ มาตรา 15 วรรคสอง เดิม บัญญัติว่า “การมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ตั้งแต่ยี่สิบกรัมขึ้นไป ให้ถือว่ามีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย” ซึ่งตามฟ้องโจทก์ก็ได้ความว่าเมทแอมเฟตามีน 101 เม็ดดังกล่าวมีน้ำหนัก 9.019 กรัม เท่านั้น จึงไม่เข้าข้อสันนิษฐานของบทบัญญัติดังกล่าว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15, 57, 66, 91, 102 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 72 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 58, 91 ริบของกลางทั้งหมด บวกโทษจำคุกจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 568/2542 ของศาลชั้นต้นเข้ากับโทษจำคุกของจำเลยที่ 1 ในคดีนี้ และนับโทษจำคุกของจำเลยที่ 1 ในคดีนี้ติดต่อกับโทษจำคุกของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1895/2544 ของศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพข้อหาเสพเมทแอมเฟตามีน ส่วนข้อหาอื่นให้การปฏิเสธ และจำเลยที่ 1 รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกันกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้บวกโทษและคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 57, 66 วรรคหนึ่ง, 91 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 72 วรรคหนึ่ง จำเลยที่ 2 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 57, 91 การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 6 ปี ฐานเสพเมทแอมเฟตามีนโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 1 ปี ฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 1 ปี คำให้การของจำเลยที่ 1 ในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาในความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสาม ส่วนความผิดฐานเสพเมทแอมเฟตามีน จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 4 ปี ฐานเสพเมทแอมเฟตามีน จำคุก 6 เดือน เมื่อรวมกับโทษจำคุกในความผิดฐานมีอาวุธปืนแล้ว เป็นจำคุก 5 ปี 6 เดือน ส่วนที่โจทก์ขอให้นำโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 568/2542 ของศาลชั้นต้น บวกเข้ากับโทษของจำเลยที่ 1 นั้น เนื่องจากคดีดังกล่าวจำเลยที่ 1 ผิดเงื่อนไขคุมประพฤติและศาลนำโทษจำคุกที่รอไว้มาลงแก่จำเลยที่ 1 แล้ว จึงไม่อาจบวกโทษดังกล่าวและที่โจทก์ขอให้นับโทษของจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1895/2544 ของศาลชั้นต้น เนื่องจากคดีดังกล่าวศาลยังมิได้มีคำพิพากษา จึงไม่อาจนับโทษต่อได้ ส่วนจำเลยที่ 2 ลงโทษความผิดฐานเสพเมทแอมเฟตามีนโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 1 ปี และปรับ 20,000 บาท จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงจำคุก 6 เดือน และปรับ 10,000 บาท ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน สมควรให้โอกาสจำเลยที่ 2 ได้กลับตัวเป็นพลเมืองดีต่อไป โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี คุมความประพฤติจำเลยที่ 2 โดยให้ไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติทุก 3 เดือนต่อครั้ง มีกำหนด 1 ปี ให้จำเลยที่ 2 กระทำกิจการบริการสังคมหรือบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ตามที่พนักงานคุมประพฤติและจำเลยที่ 2 เห็นสมควร 20 ชั่วโมง ห้ามจำเลยที่ 2 เกี่ยวข้องกับยาเสพติดให้โทษทุกประเภท ให้ละเว้นการคบหาสมาคมกับผู้เกี่ยวข้องกับยาเสพติดให้โทษทุกประเภทตามประมวลกฎฆมายอาญา มาตรา 56 หากไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ริบเมทแอมเฟตามีนที่เหลือจากการตรวจวิเคราะห์ อาวุธปืน กระสุนปืน และซองบรรจุกระสุนปืนของกลาง ยกฟ้องจำเลยที่ 2 ในข้อหามีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต คำขออื่นให้ยก
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง (เดิม), 67 (ที่แก้ไขใหม่), 91 (ที่แก้ไขใหม่) ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 5 ปี ลดโทษให้จำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสาม คงจำคุก 3 ปี 4 เดือน รวมโทษจำคุกของจำเลยที่ 1 ฐานเสพเมทแอมเฟตามีนอีก 6 เดือน และฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตอีก 1 ปี แล้ว เป็นจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 4 ปี 10 เดือน ส่วนจำเลยที่ 2 มีความผิดตามมาตรา 91 (ที่แก้ไขใหม่) แต่โทษปรับขั้นต่ำให้ใช้ตามมาตรา 91 (เดิม) นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…ข้อเท็จจริงยุติว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้องจำเลยทั้งสองเสพเมทแอมเฟตามีน จำเลยที่ 1 มีเมทแอมเฟตามีน 101 เม็ด ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต มีอาวุธปืนพกออโตเมติกขนาด .32 ไม่มีหมายเลขทะเบียนของเจ้าพนักงานประทับ กระสุนปืนออโตเมติกขนาด .32 จำนวน 3 นัด และซองบรรจุกระสุนปืนโดยผิดกฎหมาย คดีมีปัญหาตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยที่ 1 มีเมทแอมเฟตามีน 101 เม็ด ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายหรือไม่ โจทก์มีร้อยตำรวจเอกวิมล ฤทธิสาร และจ่าสิบตำรวจประสงค์ ใจชื้น ผู้ร่วมตรวจค้นจับกุมเบิกความทำนองเดียวกันว่า ก่อนจับกุมพยานทั้งสองได้สืบทราบว่าจำเลยที่ 1 ลักลอบจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน จึงรายงานให้พันตำรวจตรีกิตติ มหารักษิต หัวหน้าชุดปราบปรามยาเสพติดทราบ พันตำรวจตรีกิตติเรียกประชุมวางแผนจับกุมและขอหมายค้นจากศาล แล้วพยานทั้งสองกับพวกไปที่บ้านจำเลยที่ 1 พบจำเลยที่ 1 จึงแสดงหมายค้น จำเลยที่ 1 ทิ้งสิ่งของเป็นขวดลงพื้นขวดแตกเมทแอมเฟตามีนกระจายอยู่ที่พื้นจำนวน 101 เม็ด ค้นในห้องเก็บของที่จำเลยเดินออกมาพบกระเป๋าสตางค์มีเงินสด 6,500 บาท ค้นตัวจำเลยพบเงินสดอีก 3,120 บาท ชั้นจับกุมจำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพว่าเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวเป็นของตนเองมีไว้เพื่อจำหน่าย เงินสดทั้งหมดได้มาจากการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน และโจทก์มีพันตำรวจตรีสมมาตร จันทรัตน์ พนักงานสอบสวนเบิกความยืนยันว่า จำเลยที่ 1 ใหการรับสารภาพในชั้นสอบสวนว่าจำเลยที่ 1 มีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย เห็นว่า ร้อยตำรวจเอกวิมลและจ่าสิบตำรวจประสงค์เป็นพยานบอกเล่าที่ได้ฟังมาว่า จำเลยที่ 1 มีพฤติการณ์จำหน่ายเมทแอมเฟตามีน และเมื่อจำเลยที่ 1 ให้การปฏิเสธในชั้นพิจารณาแล้ว ทำให้คำรับสารภาพของจำเลยที่ 1 ในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนมีน้ำหนักน้อยไม่อาจรับฟังลงโทษจำเลยที่ 1 ในฐานความผิดดังกล่าวได้ ที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 มีเมทแอมเฟตามีนจำนวนมากถึง 101 เม็ด เป็นจำนวนมากเกินกว่าที่จำเลยที่ 1 จะใช้เสพเอง ฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยที่ 1 มีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายนั้น เห็นว่า การที่จำเลยที่ 1 มีเมทแอมเฟตามีน 101 เม็ด แล้วจะสันนิษฐานว่าจำเลยที่ 1 มีไว้เพื่อจำหน่ายนั้น ย่อมเป็นข้อสันนิษฐานอันเป็นผลร้ายกับจำเลยที่ 1 โจทก์มีภาระการพิสูจน์ให้ได้ความแจ้งชัดโดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยที่ 1 มีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสอง เดิม บัญญัติว่า “การมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ตั้งแต่ยี่สิบกรัมขึ้นไป ให้ถือว่ามีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย” ซึ่งตามฟ้องโจทก์ก็ได้ความว่าเมทแอมเฟตามีน 101 เม็ดดังกล่าวมีน้ำหนัก 9.019 กรัม เท่านั้น จึงไม่เข้าข้อสันนิษฐานของบทบัญญัติดังกล่าว ดังนั้น โจทก์ต้องพิสูจน์ให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 มีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย เมื่อพยานโจทก์มีแต่คำรับสารภาพของจำเลยที่ 1 ในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเท่านั้น จึงไม่พอฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 มีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายกฟ้องข้อหาดังกล่าวมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share