คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1844/2547

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

จำเลยยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ยกคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ภายหลังศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้ว จำเลยต้องนำค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตามคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลชั้นต้นมาวางศาลพร้อมกับอุทธรณ์ด้วยตาม ป.วิ.พ. มาตรา 229 เมื่อจำเลยไม่นำเงินค่าธรรมเนียมดังกล่าวมาวางศาลพร้อมกับอุทธรณ์ อุทธรณ์ของจำเลยจึงเป็นอุทธรณ์ไม่ชอบ แม้จำเลยจะอ้างว่าโจทก์ได้รับเงินจากเจ้าพนักงานบังคับคดีรวมเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจำเลยจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตามคำพิพากษาไว้ด้วยแล้วแต่ปรากฏว่า เมื่อโจทก์ได้รับเงินดังกล่าวแล้วหนี้โจทก์ยังคงเหลืออยู่ ดังนั้น จำเลยจะกล่าวอ้างว่าเงินที่โจทก์ได้รับชำระหนี้บางส่วนได้รวมเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตามคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลชั้นต้น จำเลยจึงไม่ต้องนำเงินค่าธรรมเนียมมาวางศาลพร้อมอุทธรณ์หาได้ไม่

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิจารณาคดีไปฝ่ายเดียวแล้วมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2537 ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 2,004,613.88 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปี จากต้นเงิน 1,500,000 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 9 ธันวาคม 2537) จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากไม่ชำระให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 3615 ตำบลตลาดขวัญ (บางแพรก) อำเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์ หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยชำระหนี้แก่โจทก์จนครบกับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 9,000 บาท จำเลยมิได้มาฟังคำพิพากษา โจทก์แถลงขอให้ศาลชั้นต้นออกคำบังคับ ศาลชั้นต้นออกคำบังคับโดยประกาศหน้าศาลให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาภายใน 30 วัน ครบกำหนดจำเลยไม่ชำระ โจทก์ขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดและต่อมาเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ขอให้ศาลชั้นต้นอายัดเงินค่าเวนคืนที่ดิน ต่อมาวันที่ 24 ตุลาคม 2543 จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่โดยอ้างว่า โจทก์ขอให้ศาลส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยทราบโดยวิธีประกาศหนังสือพิมพ์ทำให้จำเลยไม่ทราบว่าถูกโจทก์ฟ้อง จึงมิได้ยื่นคำให้การต่อสู้คดี โจทก์คิดดอกเบี้ยทบต้นและดอกเบี้ยระหว่างผิดนัดไม่ถูกต้อง และโจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องเนื่องจากมีพระราชกฤษฎีกาเวนคืนที่ดินพิพาทแล้ว เหตุที่จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ล่าช้าเนื่องจากเพิ่งทราบว่า ถูกโจทก์ฟ้องเป็นคดีนี้เมื่อประมาณกลางปี 2541 เมื่อจำเลยไปติดต่อขอรับเงินค่าทดแทนการเวนคืนที่ดินพิพาทจึงทราบว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีขออายัดเงินดังกล่าวไว้และต่อมาโจทก์ได้ขอรับเงินค่าทดแทนการเวนคืนที่ดินพิพาทจำนวน 2,081,182.34 บาท จากธนาคารออมสินสาขานนทบุรีแล้ว ตามเอกสารท้ายคำร้อง ซึ่งถือว่าได้มีการบังคับคดีตามคำพิพากษาของศาล หากจำเลยได้มีโอกาสเสนอพยานหลักฐานต่อศาลแล้ว คำพิพากษาในคดีนี้ย่อมเปลี่ยนแปลงให้จำเลยชนะคดี
โจทก์ยื่นคัดค้านว่า คำร้องขอพิจารณาคดีใหม่ของจำเลยมิได้คัดค้านคำตัดสินของศาล และเหตุแห่งการยื่นคำร้องล่าช้าโดยละเอียดชัดแจ้งจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า การที่จำเลยทราบว่าถูกโจทก์ฟ้องเมื่อประมาณกลางปี 2541 กรณีอยู่ในบังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 วรรคแรก ที่จำเลยจะต้องยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่พฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้สิ้นสุดลง จำเลยทราบว่าถูกโจทก์ฟ้องแต่จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2543 จึงล่วงพ้นระยะเวลา 15 วัน ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้แล้ว จำเลยจึงไม่มีสิทธิขอให้พิจารณาคดีใหม่ ให้ยกคำร้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกอุทธรณ์จำเลย ให้คืนค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์แก่จำเลย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยต้องนำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตามคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลชั้นต้นมาวางศาลพร้อมกับอุทธรณ์หรือไม่ เห็นว่า จำเลยยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ยกคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ภายหลังศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้ว จำเลยต้องนำค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตามคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลชั้นต้นมาวางศาลพร้อมกับอุทธรณ์ด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 เมื่อจำเลยไม่นำเงินค่าธรรมเนียมดังกล่าวมาวางศาลพร้อมกับอุทธรณ์ อุทธรณ์ของจำเลยจึงเป็นอุทธรณ์ไม่ชอบ ที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ได้รับเงินจำนวน 2,081,182.34 บาท จากเจ้าพนักงานบังคับคดีเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2543 ตามสำเนาใบรับเงินและบัญชีแสดงรายการรับจ่ายเอกสารท้ายฎีกาหมายเลข 1-2 จึงรวมเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจำเลยจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตามคำพิพากษาไว้ด้วยแล้ว จำเลยจึงไม่ต้องนำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตามคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลชั้นต้นมาวางศาลพร้อมกับอุทธรณ์นั้น ตามสำเนาบัญชีแสดงรายการรับจ่ายเงินครั้งที่ 1 เอกสารท้ายฎีกาของจำเลย ปรากฏว่าเมื่อโจทก์รับเงินตามจำนวนที่จำเลยกล่าวอ้างแล้ว หนี้โจทก์ยังคงเหลือ 1,342,876.90 บาท ดังนั้น จำเลยจะกล่าวอ้างว่าเงินที่โจทก์ได้รับชำระหนี้บางส่วนได้รวมเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตามคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลชั้นต้น จำเลยจึงไม่ต้องนำเงินค่าธรรมเนียมดังกล่าวมาวางศาลพร้อมกับอุทธรณ์หาได้ไม่ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share