คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 759/2547

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 ได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการตรวจนับคะแนนประจำหน่วยเลือกตั้งโดยผู้มีอำนาจตามกฎหมาย จำเลยที่ 1 จึงมีฐานะเป็นเจ้าพนักงาน จำเลยที่ 1 ได้หยิบบัตรเลือกตั้งใส่ในเสื้อที่สวมใส่แล้วเดินออกไปยังจุดนัดพบกับ ต. เพื่อให้ ต. ต่อจากนั้นได้กลับมายังที่หน่วยเลือกตั้ง จนเวลาประมาณ 13 นาฬิกา จำเลยที่ 1 ขออนุญาตออกไปทำธุระข้างนอกและไปหา ต. กับพวกรวม 3 คน แล้วนำบัตรเลือกตั้งกลับมายังหน่วยเลือกตั้ง จากนั้นจำเลยที่ 1 ได้ล้วงเอาบัตรเลือกตั้งจากในเสื้อออกมาใส่กล่องบัตรดี บัตรเลือกตั้งทุกแผ่นมีการกากบาทเครื่องหมายไว้แล้ว การกระทำของจำเลยที่ 1 ย่อมเป็นที่เห็นได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้กระทำไปโดยมีเจตนาที่จะมิให้การเลือกตั้งเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย นอกจากนี้ยังเป็นการทำให้บัตรเลือกตั้งเสียหายไม่อาจนำไปใช้การได้อีก อันถือได้ว่าเป็นการทำให้ผู้มีหน้าที่จัดการเลือกตั้งครั้งนั้นได้รับความเสียหาย การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 157

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157, 91, 83, 33 พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาจังหวัด พ.ศ.2482 มาตรา 28, 59, 70, 71 ริบบัตรเลือกตั้งของกลาง และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งจำเลยทั้งสามมีกำหนด 4 ปี
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาจังหวัด พ.ศ.2482 มาตรา 59, 70 เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 3 ปี คำรับสารภาพในชั้นจับกุมเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 ปี ริบของกลาง ส่วนที่โจทก์ขอให้สั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด 4 ปี นั้น เนื่องจากกฎหมายที่ศาลลงโทษไม่มีบทบัญญัติให้ศาลมีอำนาจเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง ให้ยกคำขอในส่วนนี้ และยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ข้อหาและคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงตามที่คู่ความไม่โต้เถียงกันแล้วรับฟังได้ว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง ทางราชการได้กำหนดให้เป็นวันเลือกตั้งสมาชิกสภาจังหวัดในเขตเลือกตั้งอำเภอเมืองนครปฐม จังหวัดนครปฐม ในการนี้จำเลยที่ 1 ได้รับแต่งตั้งจากนายอำเภอเมืองนครปฐมให้เป็นเจ้าพนักงานโดยเป็นกรรมการตรวจคะแนน ประจำหน่วยเลือกตั้งที่ 5 ตำบลบ่อพลับ ในระหว่างการเลือกตั้งเจ้าพนักงานตำรวจซึ่งควบคุมดูแลความสงบเรียบร้อยประจำหน่วยเลือกตั้งดังกล่าวตรวจพบว่าจำเลยที่ 1 ได้นำบัตรเลือกตั้งเลขที่ 030201 ถึงเลขที่ 030400 ไปดำเนินการกากบาทลงเครื่องหมายเลข 3, 4, 5, และ 6 ซึ่งเป็นหมายเลขผู้สมัครรับเลือกตั้งไว้แล้วนำไปใส่รวมไว้ในกล่องบัตรดี ซึ่งเป็นกล่องรวมบัตรลงคะแนนเลือกตั้งก่อนที่จะมีการนับคะแนนเลือกตั้ง คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยที่ 1 ฎีกาขึ้นมาประการแรกว่า จำเลยที่ 1 มีฐานะเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ด้วยหรือไม่ โดยจำเลยที่ 1 ฎีกาข้อนี้ว่า ในวันเกิดเหตุจำเลยที่ 1 มีหน้าที่ในการตรวจดูบัตรประจำตัวประชาชนกับรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้งว่าตรงกันหรือไม่ ไม่ได้มีหน้าที่เกี่ยวข้องในการจ่ายบัตรเลือกตั้งให้แก่ผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง ดังนั้น จำเลยที่ 1 จึงไม่ใช่เป็นเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่และปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 เห็นว่า ข้อนี้คดีได้ความจากคำเบิกความของนายพูลศักดิ์ ประณุทนรพาล พยานโจทก์ว่า ในวันเกิดเหตุพยานในฐานะนายอำเภอเมืองนครปฐมได้มีประกาศแต่งตั้งให้จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าพนักงานโดยเป็นกรรมการตรวจคะแนนประจำหน่วยเลือกตั้งที่ 5 ตำบลบ่อพลับ เขตเลือกตั้งอำเภอเมืองนครปฐม ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาจังหวัดนครปฐม รายละเอียดปรากฏตามประกาศอำเภอเมืองนครปฐม เอกสารหมาย จ.6 และมีหนังสือแจ้งให้จำเลยที่ 1 ทราบ ซึ่งประกาศตามเอกสารหมาย จ.6 พยานในฐานะนายอำเภอเมืองนครปฐมได้ออกประกาศโดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 28 แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาจังหวัด พ.ศ.2482 เมื่อเป็นเช่นนี้จึงถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้รับการแต่งตั้งโดยผู้มีอำนาจตามกฎหมาย จำเลยที่ 1 จึงมีฐานะเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา ตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาจังหวัด พ.ศ.2482 มีหน้าที่ดำเนินการเลือกตั้งตามประกาศดังกล่าว แม้ปรากฏว่าในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกาได้มีพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 มาตรา 3 (2) ถึง (7) ยกเลิกพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาจังหวัดฯ ทุกฉบับ แต่ตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 มาตรา 30 บัญญัติว่า ในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้ให้ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กรรมการการเลือกตั้งประจำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้อำนวยการประจำหน่วยเลือกตั้ง กรรมการประจำหน่วยเลือกตั้ง และผู้ซึ่งได้รับแต่งตั้งให้ปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้เป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งเห็นได้ว่ากฎหมายที่แก้ไขใหม่ยังคงบัญญัติให้จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญาเช่นเดิม ดังนั้น จำเลยที่ 1 จึงเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ด้วย ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยประการต่อไปมีว่า จำเลยที่ 1 ได้ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดอันจะมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ด้วยหรือไม่เกี่ยวกับข้อเท็จจริงในส่วนนี้ โจทก์มีพลตำรวจดำรงชัย ภูษา เป็นพยานเบิกความยืนยันว่า ในวันเกิดเหตุขณะที่พยานดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยภายในหน่วยเลือกตั้งอยู่นั้น พยานเห็นจำเลยที่ 1 เดินไปหยิบกล่องบัตรดีมาวางไว้ที่ด้านหลังจำเลยที่ 2 แล้วจำเลยที่ 1 ล้วงเอาบัตรเลือกตั้งจากในเสื้อบริเวณเอว 2 มัด ออกมาใส่กล่องบัตรดีดังกล่าว พยานเห็นเช่นนั้นจึงเข้าไปขอตรวจสอบภายในกล่องนั้น พบบัตรเลือกตั้ง 2 มัด มัดละ 100 ฉบับ รวม 200 ฉบับ บัตรเลือกตั้งทุกแผ่นดังกล่าวมีการกากบาทลงเครื่องหมายเลข 3, 4, 5, และ 6 ไว้แล้ว พยานจึงส่งวิทยุแจ้งให้ร้อยตำรวจเอกวิชัย แพ่งแจ่ม ทราบ ต่อมาร้อยตำรวจเอกวิชัยได้นำกำลังเจ้าพนักงานตำรวจมาจับกุมจำเลยที่ 1 ไปดำเนินคดี โดยกล่าวหาว่าจำเลยที่ 1 มีหน้าที่ในการเลือกตั้ง จงใจไม่ปฏิบัติหน้าที่ ลงเครื่องหมายในบัตรเลือกตั้งซึ่งมิใช่ของตน โดยเจตนาทุจริตและลงคะแนนเลือกตั้งโดยรู้อยู่แล้วว่าตนไม่มีสิทธิเลือกตั้ง จำเลยที่ 1 ทราบข้อกล่าวหาแล้วได้ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา รายละเอียดปรากฏตามบันทึกการจับกุม เอกสารหมาย จ.1 นอกจากนี้โจทก์ยังมีร้อยตำรวจเอกสามารถ เจริญยศ ซึ่งเป็นผู้สอบสวนคดีนี้มาเบิกความเป็นพยานยืนยันว่า ในชั้นสอบสวนพยานได้แจ้งข้อหาแก่จำเลยที่ 1 เช่นเดียวกับที่มีการแจ้งไว้ในชั้นจับกุม จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ พยานได้บันทึกคำรับของจำเลยที่ 1 ไว้ในบันทึกคำให้การของผู้ต้องหา ซึ่งตามบันทึกดังกล่าวจำเลยที่ 1 ได้ให้การว่า ในวันเกิดเหตุได้มีนายตี๋ไม่ทราบนามสกุลไปพูดกับจำเลยที่ 1 ว่าถ้าเอาบัตรลงคะแนนออกมาได้จะให้เงิน 1,000 บาท จำเลยที่ 1 พยักหน้าแล้วเดินกลับไปนั่งข้าง ๆ จำเลยที่ 2 กรรมการตรวจคะแนนซึ่งมีหน้าที่แจกบัตรเลือกตั้ง จำเลยที่ 1 นั่งคุยอยู่กับจำเลยที่ 2 จนจำเลยที่ 2 เผลอ จำเลยที่ 1 จึงหยิบบัตรเลือกตั้งใส่ในเสื้อที่จำเลยที่ 1 สวมใส่อยู่แล้ว แล้วเดินออกไปยังจุดที่นัดกับนายตี๋เพื่อให้นายตี๋ ต่อจากนั้นจำเลยที่ 1 ได้กลับมายังที่หน่วยเลือกตั้งอีก จนเวลาประมาณ 13 นาฬิกา จำเลยที่ 1 ขออนุญาตออกไปทำธุระข้างนอกและไปหานายตี๋กับพวกรวม 3 คน จำเลยที่ 1 เข้าไปหยิบบัตรเลือกตั้งในรถนายตี๋ซึ่งนายตี๋กับพวกรวม 3 คน ได้กากบาทหมายเลข 3, 4, 5 และ 6 ไว้ใส่ในเสื้อ แล้วจำเลยที่ 1 กลับมายังหน่วยเลือกตั้ง เมื่อถึงหน่วยเลือกตั้งได้เดินไปหยิบกล่องที่เขียนว่าบัตรดีเพื่อนำบัตรที่จำเลยที่ 1 ซุกซ่อนไว้ในเสื้อใส่ลงในกล่องกระดาษดังกล่าว ขณะเดียวกันนั้นมีเจ้าพนักงานตำรวจประจำหน่วยเลือกตั้งมาพบเห็นเข้าจึงจับจำเลยที่ 1 ส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดี พยานโจทก์ดังกล่าวไม่ปรากฏว่าเคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยที่ 1 มาก่อนแต่อย่างใด จึงไม่มีเหตุให้ระแวงสงสัยว่าจะแกล้งเบิกความใส่ร้ายจำเลยที่ 1 หรือทำพยานหลักฐานอันเป็นเท็จขึ้นเพื่อให้จำเลยที่ 1 ต้องได้รับโทษในทางอาญา ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าเป็นดังที่ได้ความจากพยานโจทก์ดังกล่าว การกระทำของจำเลยที่ 1 เช่นที่กล่าวมาแล้วนั้นย่อมเป็นที่เห็นได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้กระทำการดังกล่าวไปโดยมีเจตนาที่จะมิให้การเลือกตั้งเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย นอกจากนี้ยังเป็นการทำให้บัตรเลือกตั้งเสียหายไม่อาจนำไปใช้การได้อีก อันถือได้ว่าเป็นการทำให้ผู้มีหน้าที่จัดการเลือกตั้งครั้งนั้นได้รับความเสียหาย การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง ในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกาได้มีพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 มาตรา 3 (2) ถึง (7) ยกเลิกพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาจังหวัดฯ ทุกฉบับ โดยกฎหมายที่ใช้บังคับใหม่มาตรา 115 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า กรรมการเลือกตั้ง… หรือผู้ซึ่งได้รับแต่งตั้งหรือมอบหมายให้ดำเนินการเกี่ยวกับการเลือกตั้งตามพระราชบัญญัตินี้ จงใจไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ หรือกระทำการอันมิชอบด้วยหน้าที่เพื่อเป็นคุณหรือเป็นโทษแก่ผู้สมัครหรือกระทำการหรือละเว้นการกระทำการโดยทุจริตหรือประพฤติมิชอบในการปฏิบัติหน้าที่ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1 ปี ถึง 10 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000 บาท ถึง 200,000 บาท และให้ศาลเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด 10 ปี แตกต่างจากกฎหมายเดิม มาตรา 59, 70 และ 71 ซึ่งต่างกำหนดให้ระวางโทษและให้ศาลเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนดที่ต่ำกว่า ดังนั้น โทษและกำหนดระยะเวลาในการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งตามกฎหมายเดิมเป็นคุณมากกว่า ที่ศาลล่างทั้งสองปรับบทกฎหมายมาจึงชอบแล้ว แต่ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และไม่สั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของจำเลยที่ 1 นั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นมา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225 ศาลฎีกาเห็นสมควรสั่งเสียให้ถูกต้อง”
พิพากษายืน และให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งจำเลยที่ 1 มีกำหนด 4 ปี

Share