แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยที่ 1 ออกใบแทนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ทั้งหกแปลงตามคำฟ้องและใส่ชื่อโจทก์ในเอกสารสิทธิดังกล่าว พร้อมกับเรียกเก็บค่าเสียหาย จำเลยที่ 1 ให้การว่าหนังสือรับรองการทำประโยชน์ทั้งหกแปลงไม่ได้สูญหายแต่อยู่ในความครอบครองของจำเลยที่ 4 โจทก์ต้องไปใช้สิทธิทางศาลเพื่อให้จำเลยที่ 4 ส่งมอบ ประเด็นแห่งคดีจึงมีว่าจำเลยที่ 1 จะออกใบแทนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ทั้งหกแปลงตามฟ้องโจทก์ให้ได้หรือไม่เพราะเอกสารสิทธิดังกล่าวไม่ได้สูญหาย แต่อยู่ในความครอบครองของจำเลยที่ 4 ดังนี้ การที่จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ว่า จำเลยที่ 1 ออกใบแทนเอกสารสิทธิทั้งหกแปลงให้โจทก์ไม่ได้เนื่องจากโจทก์ไม่เคยยื่นคำขอออกใบแทน จึงเป็นอุทธรณ์ที่นอกเหนือจากประเด็นตามคำให้การของจำเลยที่ 1 และเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ทั้งมิใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ย่อมต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคหนึ่ง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้จัดการมรดกของนางแดง อุ่ยเจริญ ซึ่งมีสิทธิได้รับส่วนแบ่งที่ดินจำนวน 1 ใน 8 ส่วน ซึ่งเป็นทรัพย์มรดกของนายสมบูรณ์ อุ่ยเจริญ ตามคำพิพากษาของศาล โจทก์ได้ยื่นคำร้องขอต่อจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่สำนักงานที่ดินอำเภอแม่ลานเพื่อให้จดแจ้งชื่อโจทก์ลงในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าว จำเลยที่ 2 แจ้งให้จำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นผู้ครอบครองหนังสือรับรองการทำประโยชน์ส่งมอบเอกสารสิทธิดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 2 เพื่อดำเนินการตามคำขอของโจทก์ แต่จำเลยที่ 4 ไม่ส่งมอบเอกสารสิทธิดังกล่าวให้จำเลยที่ 2 จึงมีหนังสือหารือจำเลยที่ 1 ว่าสามารถออกใบแทนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวได้หรือไม่ จำเลยที่ 1 แจ้งว่าไม่สามารถออกใบแทนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวได้ จำเลยที่ 3 ซึ่งย้ายมารับราชการแทนจำเลยที่ 2 จึงมิได้ออกใบแทนและจดแจ้งชื่อโจทก์ในเอกสารสิทธิดังกล่าว นอกจากนี้จำเลยที่ 5 และที่ 6 ได้ยื่นคำคัดค้านต่อเจ้าพนักงานที่ดินทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายจึงต้องดำเนินคดีฟ้องร้องจำเลยกับพวกต่อศาลซึ่งต้องเสียค่าใช้จ่ายไม่น้อยกว่า 200,000 บาท นอกจากนี้ที่ดินทั้งหกแปลงเป็นสวนยางพาราและเป็นที่นาบางส่วนมีรายได้ไม่น้อยกว่าปีละ 228,000 บาท ซึ่งโจทก์มีสิทธิได้รับส่วนแบ่งผลประโยชน์จากทรัพย์มรดกจำนวน 1 ใน 8 ส่วน นับแต่วันที่ 23 มีนาคม 2535 แต่จำเลยที่ 4 ไม่ได้แบ่งปันผลประโยชน์ดังกล่าวให้แก่โจทก์ คำนวณถึงวันฟ้องเป็นเวลา 6 ปี 10 เดือนเศษ เป็นเงิน 171,000 บาท โจทก์ทวงถามให้จำเลยทั้งหกชดใช้ค่าเสียหายแล้ว แต่จำเลยทั้งหกเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ออกใบแทนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ทั้งหกแปลงและใส่ชื่อโจทก์ในเอกสารสิทธิดังกล่าว ให้จำเลยทั้งหกร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 100,000 บาท แก่โจทก์ ให้จำเลยที่ 4 ส่งมอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์ทั้งหกแปลงให้แก่เจ้าพนักงานที่ดินอำเภอแม่ลานเพื่อดำเนินการตามคำพิพากษาของศาล และให้จำเลยที่ 4 แบ่งปันผลประโยชน์จากกองมรดกจำนวน 171,000 บาท และถัดจากวันฟ้องอีกปีละไม่น้อยกว่า 28,500 บาท จนกว่าจะแบ่งทรัพย์มรดกเสร็จสิ้นแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ให้การว่า เนื่องจากหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวยังไม่สูญหาย จำเลยที่ 1 จึงไม่สามารถออกใบแทนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ใหม่และจดแจ้งชื่อโจทก์ลงในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวได้ การที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่จดแจ้งชื่อโจทก์ลงในหนังสือรับรองการทำประโยชน์เพราะมีเหตุขัดข้องดังกล่าวและแจ้งให้โจทก์ไปใช้สิทธิทางศาลแล้ว จึงเป็นการกระทำโดยชอบและไม่เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ ทั้งจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นเจ้าหน้าที่หน่วยงานรัฐ ปฏิบัติการไปตามหน้าที่จึงไม่ต้องรับผิดตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 มาตรา 5 วรรคหนึ่ง โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องค่าใช้จ่ายที่โจทก์อ้างว่าต้องเสียไปทั้งก่อนฟ้องและหลังฟ้องเป็นเงินไม่น้อยกว่า 120,000 บาท โจทก์ไม่ได้บรรยายให้ชัดแจ้งว่าเป็นค่าอะไรบ้าง จำเลยไม่อาจต่อสู้คดีได้ถูกต้อง จึงเป็นฟ้องเคลือบคลุม อย่างไรก็ตามค่าใช้จ่ายที่โจทก์ได้รวมมาจำนวน 200,000 บาท เป็นเงินที่สูงเกินส่วน ความจริงไม่เกิน 20,000 บาท ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 4 ที่ 5 และที่ 6 ให้การว่า ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 1093 ไม่ใช่ทรัพย์มรดกของนายสมบูรณ์ อุ่ยเจริญ จำเลยที่ 4 เป็นผู้จัดการมรดกของนายสมบูรณ์จึงมีหน้าที่ยึดถือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ทั้งหกแปลงไว้เพื่อแบ่งทรัพย์มรดกให้แก่ทายาทรวมทั้งโจทก์ และอยู่ระหว่างการตกลงแบ่งทรัพย์มรดกและหารือในทางปฏิบัติเกี่ยวกับการจดทะเบียนโอนมรดกของเจ้าพนักงานทางโจทก์ได้ยื่นข้อเสนอขอที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 1365 ทั้งแปลง ซึ่งเกินสิทธิของโจทก์และทายาทอื่นไม่ยินยอม จำเลยที่ 4 มิได้ขัดขืนไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาล จึงไม่เป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ จำเลยที่ 5 และที่ 6 ได้ยื่นคำคัดค้านต่อเจ้าพนักงานที่ไม่สามารถโอนทรัพย์มรดกตามคำขอของจำเลยที่ 5 และที่ 6 หาใช่เป็นการคัดค้านการใส่ชื่อโจทก์ในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ไม่ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ค่าเสียหายที่โจทก์กล่าวอ้างสูงเกินส่วน นอกจากนี้สิทธิที่โจทก์อ้างว่าควรจะได้รับส่วนแบ่งผลประโยชน์จากทรัพย์มรดกจำนวน 171,000 บาท นั้น เนื่องจากอยู่ระหว่างผู้จัดการมรดกดำเนินการแบ่งปันทรัพย์มรดกยังไม่แล้วเสร็จจึงยังไม่มีสิทธิเรียกร้อง ทั้งผลประโยชน์ที่โจทก์อ้างมาคลาดเคลื่อน เนื่องจากคงมีเพียงที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 1365 ที่ได้ผลผลิตจากการกรีดน้ำยางพาราปีละ 5,600 บาท ซึ่งต้องหักเป็นค่าแรงให้แก่ลูกจ้าง คงเหลือที่โจทก์พึงจะได้รับปีละ 350 บาท รวม 7 ปี เป็นเงิน 2,450 บาท เท่านั้น ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 110,000 บาท แก่โจทก์และออกใบแทนหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 89, เลขที่ 361, เลขที่ 1093, เลขที่ 1104, เลขที่ 1365 และเลขที่ 1063 ตำบลแม่ลาน อำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี แล้วจดแจ้งชื่อโจทก์ในเอกสารสิทธิดังกล่าวให้เป็นไปตามคำพิพากษา ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 6
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ด้วย
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 ที่ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 นั้น ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ โดยโจทก์ฎีกาว่าอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ที่ว่าโจทก์ไม่เคยยื่นคำขอออกใบแทนตามที่กฎหมายกำหนด จำเลยที่ 1 ไม่ได้ให้การถึงข้อนี้ และเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นนั้น เห็นว่า โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยที่ 1 ออกใบแทนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ทั้งหกแปลงตามคำฟ้องและใส่ชื่อโจทก์ในเอกสารสิทธิดังกล่าวพร้อมกับเรียกค่าเสียหาย จำเลยที่ 1 ให้การว่าหนังสือรับรองการทำประโยชน์ทั้งหกแปลงไม่ได้สูญหายแต่อยู่ในความครอบครองของจำเลยที่ 4 โจทก์ต้องไปใช้สิทธิทางศาลเพื่อให้จำเลยที่ 4 ส่งมอบ ประเด็นแห่งคดีจึงมีว่าจำเลยที่ 1 จะออกใบแทนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ทั้งหกแปลงตามฟ้องโจทก์ให้ได้หรือไม่เพราะเอกสารสิทธิดังกล่าวไม่ได้สูญหายแต่อยู่ในความครอบครองของจำเลยที่ 4 ดังนั้น การที่จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ว่า จำเลยที่ 1 ออกใบแทนเอกสารสิทธิทั้งหกแปลงให้โจทก์ไม่ได้ เนื่องจากโจทก์ไม่เคยยื่นคำขอออกใบแทนจึงเป็นอุทธรณ์ที่นอกเหนือจากประเด็นตามคำให้การของจำเลยที่ 1 และเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ทั้งมิใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 วินิจฉัยไว้ในคำสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 แม้ศาลอุทธรณ์ภาค 9 มีคำสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 แล้ววินิจฉัยให้ ย่อมเป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น และคดีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาข้ออื่นของโจทก์อีกต่อไป”
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 โดยให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น