คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 186/2547

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ปล่อยทรัพย์สินที่ยึดหลายรายการ แม้ผู้ร้องอุทธรณ์ตอนแรกเฉพาะทรัพย์สินบางรายการว่าเป็นของผู้ร้อง ส่วนตอนหลังอุทธรณ์ว่าทรัพย์สินรายการที่เหลือก็เป็นของผู้ร้องโดยซื้อมาจากพนักงานขายสินค้าซึ่งนำมาเร่ขายในราคาถูก จึงทำให้บิลเงินสดและใบส่งของชั่วคราวไม่มีชื่อร้านผู้จำหน่ายสินค้า แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทรัพย์สินดังกล่าวไม่ใช่ของผู้ร้อง จึงเป็นการอุทธรณ์โต้แย้งว่าทรัพย์สินบางรายการในตอนหลังของอุทธรณ์เป็นทรัพย์สินที่ผู้ร้องซื้อมาจากพนักงานขายสินค้าซึ่งนำมาเร่ขายถูกรวมอยู่ด้วย หาใช่ผู้ร้องมิได้อุทธรณ์โต้แย้งทรัพย์สินในรายการส่วนที่เหลือไม่ เมื่อมีราคารวมกันเกินกว่าห้าหมื่นบาท จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์และราคาทรัพย์สินที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์เกินห้าหมื่นบาท อุทธรณ์ของผู้ร้องจึงไม่ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 224 วรรคหนึ่ง

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 301,294 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากต้นเงิน 297,575 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 8,000 บาท จำเลยไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษา โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์สินจำนวน 19 รายการ รวมราคา 51,200 บาท
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอและแก้ไขคำร้องขอว่า ทรัพย์สินทั้งสิบเก้ารายการที่โจทก์นำยึดไม่ใช่ของจำเลยแต่เป็นของผู้ร้อง ขอให้ปล่อยทรัพย์สินที่ยึดคืนแก่ผู้ร้อง
โจทก์ให้การว่า วันที่โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์สิน จำเลยและนายโกศล นิธิเศรษฐทรัพย์ สามีจำเลยเป็นผู้ชี้ให้ยึด ทั้งยอมรับว่าบ้านและทรัพย์สินที่ยึดทั้งหมดเป็นของจำเลยและสามีโดยไม่มีผู้ใดคัดค้านการยึด ขอให้ยกคำร้องขอ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกคำร้องขอ
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายกอุทธรณ์ คืนค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์ทั้งหมดให้แก่ผู้ร้อง
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องมีว่า อุทธรณ์ของผู้ร้องต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคหนึ่ง หรือไม่ เห็นว่า ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ปล่อยทรัพย์สินที่ยึดจำนวน 19 รายการ ซึ่งมีราคารวมกัน 51,200 บาท ตามสำเนาบัญชียึดทรัพย์เอกสารหมาย ร.2 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องขอ ผู้ร้องอุทธรณ์ตอนแรกว่าทรัพย์สินรายการลำดับที่ 1 ถึงที่ 13 เป็นของผู้ร้องโดยได้รับการให้จากนายสวาท นิธิเศรษฐทรัพย์ บิดาผู้ร้อง ส่วนตอนหลังอุทธรณ์ว่าทรัพย์สินรายการลำดับที่ 14 ถึงที่ 19 เป็นของผู้ร้องโดยซื้อมาจากพนักงานขายสินค้าซึ่งนำมาเร่ขายในราคาถูก จึงทำให้บิลเงินสดและใบส่งของชั่วคราวเอกสารหมาย ร.3 ถึง ร.5 ไม่มีชื่อร้านผู้จำหน่ายสินค้าแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทรัพย์สินดังกล่าวไม่ใช่ของผู้ร้อง ดังนี้เป็นการอุทธรณ์โต้แย้งอยู่แล้วว่าโต๊ะไม้ 1 ตัว ราคา 4,000 บาท และตู้โชว์ไม้ 1 ตัว ราคา 1,500 บาทตามสำเนาบัญชียึดทรัพย์เอกสารหมาย ร.2 รายการลำดับที่ 17 และที่ 18 เป็นทรัพย์สินที่ผู้ร้องซื้อมาจากพนักงานขายสินค้าซึ่งนำมาเร่ขายในราคาถูกรวมอยู่ด้วยนั่นเอง หาใช่ผู้ร้องมิได้อุทธรณ์โต้แย้งทรัพย์สินรายการลำดับที่ 17 และที่ 18 ดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 วินิจฉัยไม่ เมื่อทรัพย์สินที่โจทก์นำยึดจำนวน 19 รายการ รวมราคา 51,200 บาท จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์และราคาทรัพย์สินที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์เกินห้าหมื่นบาท อุทธรณ์ของผู้ร้องไม่ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามบทบัญญัติดังกล่าว ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 วินิจฉัยว่าอุทธรณ์ของผู้ร้องต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้ร้องฟังขึ้น และเนื่องจากคดีนี้มีทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในศาลชั้นต้นเพียง 51,200 บาท แต่ศาลชั้นต้นกำหนดค่าทนายความให้แก่ผู้ชนะคดี 3,000 บาท เกินกว่าอัตราชั้นสูงในศาลชั้นต้นที่จะกำหนดให้ได้จึงไม่ชอบเห็นสมควรให้ศาลอุทธรณ์ภาค 7 กำหนดให้ใหม่เสียด้วย”
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 ให้ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

Share